? ไม้ตาด ?
ไม้ตาดหรือไม้กวาดสำหรับกวาดลานวัด เป็นไม้กวาดขนาดใหญ่ โดยนำซี่ไม้กวาดริ้วเล็ก ๆ จำนวนมากมาผูกหรือถักยึดเข้ากับปลายด้านหนึ่งของด้ามหรือคันไม้ตาดซี่ไม้ตาดเรียก ริ้วตาด เมื่อก่อนนี้นิยมใช้ไม้ไผ่สีสุก ตัดยาวประมาณ 70-75 ซ.ม. หรือประมาณ 2 ชั่วปล้อง นำมาผ่าเป็นซีก ๆ เล็ก ๆ ประมาณกว้าง 6-7 ม.ม. แล้วเหลาให้ได้รูปร่าง โดยด้านโคนมีลักษณะกลมเรียบ ทำขยักตรงปลายเผื่อเป็นที่ผูกรัดแน่นเข้ากับคันตาด ส่วนปลายค่อย ๆ เหลาให้เรียวลงจนเล็กจิ๋ว โดยแบ่งแล่งออกเป็น 2 ซี่ในริ้วตาดอันเดียวกัน การเหลาที่ได้ส่วนดีต้องเหลาให้กลมกลึง ทั้งค่อย ๆ เรียวจากโคนไปสู่ปลายแฉกทั้งสอง เวลาจับสะบัดดูจะนิ่มมือ และมีเสียงดังเฟี้ยว ๆ อย่างไม้เรียวจำนวนซี่ตาดที่ใช้ทำตาดแต่ละเล่ม (เรียกเป็นเล่ม) ประมาณ 22-30 ซี่ แล้วแต่ว่าจะใช้คันตาดใหญ่หรือเล็ก คันตาดเป็นไม้ไผ่ลำเล็ก ยาว ตรง แข็งแรง แต่เบา ขนาดความโตเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิว้ ความยาวประมาณ 2-2.5 เมตร นิยมใช้ไม้ที่แห้งแล้วแต่ยังแข็งแกร่งดี ไม่ถึงผุ เพราะจะได้มีน้ำหนักเบา ริ้วตาดที่ใช้บางครั้งก็ใช้ก้านใบของต้นปาล์มชนิดหนึ่งเรียก ต้นชก ก็ใช้ได้ดีมากในระยะแรก ๆ แต่สึกหรอเร็วไม่ทนทาน บางทีก็ใช้ก้านทางมะพร้าวแทน ซึ่งก็ใช้ดีเหมือนกัน มาระยะหลัง ๆ นี้จะมีแต่ริ้วทางมะพร้าวแทบทั้งนั้น ริ้วตาดเหลาจากไม้ไผ่สีสุก แทบจะหาดูไม่มีเลย
ในการถักริ้วตาดเข้ากับคันจะถักเป็น 2 วง วงแรกติดที่ระยะปลายคันตาด ห่างจากปลายเข้าไปประมาณ 10 ซ.ม. โดยนำเอาริ้วตาดมาเรียงรอบ ๆ คันให้รอบ จำนวนริ้วที่ใช้ในรอบควรเป็จำนวนคี่ ใช้เชือกรัดริ้วตาดตรงคอขยักให้แน่นเข้ากับตัวคัน จากนั้นใช้เชือกอย่างเหนียวดี (ถ้าใช้หวายเส้นซึ่งเหลาไว้แล้วจะดีมากที่สุด) สอดถักแถว ๆ โคนของริ้ว ถักเป็น ลายสอง ไปรอบ ๆ คัน พอไบรรจบรอบก็ถักคร่อมรอบต่อไป การที่จำนวนริ้วเป็นจำนวนคี่ จะทำให้ลายในการถักรอบต่อไปนี้กลมกลืนลงตัวพอดี ถักและดึงแน่นอย่างนี้ไปเรื่อย จนได้ประมาณ 3-4 รอบ แล้วริ้วตาดทั้งหมดก็จะตรึงติดแน่นอยู่กับคันตาด จากนั้นจึงเริ่มวงที่สอง
วงที่สองนำริ้วตาดจำนวนเท่าวงแรกมาเรียง และยึดถักเข้ากับคันตาดเหมือนอย่างวงที่ 1 แต่จุดที่ยึดกับคันตาดให้อยู่ถัดจากวงแรกเข้ามา อีกประมาณ 6-8 ซ.ม. เมื่อถักยึดวงที่สองแล้วจะเห็นว่าเป็นลักษณะไม้กวาดที่มีด้ามยาว มีซี่ลู่เป็นกระจุกอยู่ตรงปลาย โดยซี่จะอยู่ซ้อนกันสองชั้น (ของวงแรกและวงที่สอง)
จากนั้นจึงถักยึดเพื่อให้ริ้วตาดบานถ่างออก โดยนำลวดแข็ง ๆ มาวงเป็นวงกลมประมาณ 8-10 ซ.ม. มาใส่ในภายในกลางกลุ่มริ้ว ขยับเข้าออกจากปลายไม้คันตาด กะดูว่าริ้วตาดกบานออกมามากน้อยพอดี (โดยปกติจะใส่ที่ระยะวัดจากจุดยึดริ้วตาดวงแรกออกมาประมาณ 25-30 ซ.ม.) แล้วจึงใช้เชือกเหนียวผูกถักยึดริ้วของวงที่สองรวบกับริ้วของวงที่หนึ่ง และรวบกับขอบลวดวงกลมนั้นเข้าด้วยกันแน่น แล้วก็ถักรวบชุดริ้วที่อยู่ถัดไป ยึดเข้ากับขอบลวดวงกลมดังนี้อีก ถักต่อไปเรื่อย ๆ จนครบรอบวงกลมลวดนั้น ริ้วตาดทั้งหมดก็จะถูกยึดแน่นหนา (ขณะถักเข้ากับวงลวดพยายามจัดระยะระหว่างชุดให้เท่า ๆ กัน) เป็นอันเสร็จ จะได้ไม้ตาดมีรูปร่างด้ามยาว ๆ ส่วนปลายริ้วตาดจะคลี่บานออกรอบตัว กลม (ความคลี่บานของริ้วตาดนี้ หากบานน้อยหรือมากเกินไป จะกวาดใบไม้ไม่ค่อยดี ต้องทำให้พอเหมาะ การจะบานมากหรือน้อยอยู่ที่ว่าวงลวดกลมนั้นค้ำบังคับอยู่ที่ในหรือนอกจนเกินไปหรือไม่ ถ้าเลื่อนเข้าในเข้าไปหาตัวคันตาด กลุ่มริ้วตาดก็จะบานมาก ถ้าเลื่อนออกมาก็จะบานน้อลง จะต้องอาศัยความชำนาญเป็นตัวกะเอาที่พอดีแล้ว จึงถักยึดริ้วเข้ากับขอบลวดวงกลมให้มั่นคง)
เชือกที่ใช้ถักทั้งหมด ต้องใช้เชือกที่มีความเหนียวทนทาน เพราะตาดแต่ละเล่มเมื่อทำขึ้นมาแล้ว หากรักษาดีไม่ให้ถูกแดด ฝน มอดไช จะทนทานสามารถใช้ได้นานมาก หากสามารถใช้หวายเส้นมาถักได้ก็นับว่าดีที่สุด
ไม้ตาดนี้เมื่อทำเสร็จแล้ว ทางพระผู้ปฏิบัติธรรมถือว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญชิ้นหนึ่งเท่าเทียมกับบริขารประจำตัวเลยทีเดียว หลวงปู่เคยได้แนะนำให้ดูแลรักษาไม้ตาดของตนให้เป็นอย่างดี ต้องเก็บไว้ในที่ปลอดภัยจากแดด ฝน พ้นจากอันตราย เช่น ลมจะมาพัดตก ที่ทางอันมีผู้ไปมาจะกระทบให้หักหรือลุ่ยได้ ทั้งไม้ตาดที่ทำและยังไม่ได้ใช้จะเก็บไว้ก็ให้วางไว้บนห้างร้านสูงเหนือโรงไฟ เพื่ออังไฟ อังควัน กันมอดแมงกัดไช และทำให้ไม้ตาดเหนียวทนทาน และแม้กระทั่งการใช้ตาดปัดกวาด ท่านก็แนะนำให้กวาดด้วยความระมัดระวัง ไม่กดจนเกินไป จะทำให้ริ้วตาดหักหรือสึกหรอชำรุดได้ง่าย ให้กวาดเป็นลักษณะเขี่ยเอาใบไม้หรือขยะให้กระเด็นไปเท่านั้น ตาดที่กวาดเสร็จแล้วเมื่อยังเปื้อนหรือเปียกอยู่ก็ให้ทำสะอาดและตากให้แห้งจึงนำเข้าเก็บไว้
โดยปกติ ท่านให้พระเณรทุกองค์ต้องมีไม้ตาดประจำของตนเอง จะทำเองหรือผู้อื่นทำให้ก็แล้วแต่ แต่ท่านพยายามแนะนำ สนับสนุนให้พระเณรหัดทำของตนเองให้เป็น มิใช่แต่จะคอยขอจากผู้อื่น) ตามกุฏิแต่ละหลังจึงย่อมมีไม้ตาดอยู่พร้อม 2-3 อันเสมอ
ในวาระเตรียมตัวเข้าพรรษาแต่ละปี หลวงปู่จะพูดเตือนพระเณรทุก ๆ องค์ ให้เตรียมตนของตนเพื่อการอยู่จำพรรษา สิ่งที่จะต้องเตรียมก็มีหลายอย่าง เช่น ดูแลซ่อมแซมเสนาสนะ กุฏิ กระต๊อบต่าง ๆ ให้แข็งแรงเรียบร้อย พออยู่ปกติของตน ๆ ช่วยกันหาไม้แห้งมาตัดผ่าเป็นฟืนรวมกองไว้เป็นระเบียบให้มากพอ เตรียมไว้เผื่อตลอดพรรษา และที่สำคัญคือให้ทุก ๆ องค์ เตรียมไม้ตาดของตนไว้ให้พร้อม องค์ละ 2 คัน ถ้าไม่สามารถทำเป็นตาดเหลา (อย่างที่อธิบายมา) ก็เป็นตาดแขนงไม้ไผ่เสียอันหนึ่ง(ตาดแขนงไม้ไผ่ ทำโดยเอาแขนงไม้ไผ่อันเล็ก ๆ หรือลำไม้ไผ่พันธุ์หนึ่ง เรียกว่า
ไม้ไผ่โจด เป็นลำเล็ก ๆ เรียว ๆ มามัดเป็นกำ รวบเข้ากับด้ามคันตาด มัดให้แน่น ๆสักสองถึงสามเปลาะ ก็พอจะใช้กวาดลานวัดได้ แต่ไม่ดีเท่าตาดเหลา)
หลวงปู่ให้เตรียมไม้ตาดไว้ให้พร้อมทุกองค์อย่างนี้ทุก ๆ พรรษา ก็คงจะเป็นเพราะเห็นว่า ไม้ตาดเป็นเครื่องมือสำคัญอันหนึ่งสำหรับพวกพระเณรที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ จะใช้ประกอบกิจวัตรขัดเกลาตนเองให้ก้าวสู่คุณธรรมความดีที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่ง ๆ ขึ้นไป ท่านเคยบอกว่าการเป็นนักปฏิบัติ หากต้องการจะเจริญก้าวหน้าไปในธรรมปฏิบัติจริงแล้ว จะต้องสนอกสนใจ เอาใจใส่ฝึกฝนตนเองแม้จากเรื่องนอก ๆ หยาบ ๆ อย่างกวาดตาดนี้แหละ แล้วจึงมีนิสัยละเอียดลออ รู้สึกสังเกต เหตุผล ลึกซึ้งเข้าไปโดยลำดับจึงจะเหมาะสมต่อคุณธรรมขั้นสูง และละเอียดลึกซึ้งต่อไป ถ้าหากละเลยต่อกิจการนอก ๆหยาบ ๆเสียแล้ว ไฉนจะเป็นผู้มีความละเอียดลออ ลึกซึ้ง คู่ควรแก่การบรรลุคุณธรรมอันสูงส่งได้
? อุปนิสัยส่วนตัวของหลวงปู่ ?
หลวงปู่มีอุปนิสัยหลาย ๆ อย่างที่เห็นว่าเหมาะสมกับเพศสมณะ และพวกเราที่เป็นศิษยานุศิษย์ ผู้มุ่งดำเนินไปบนแนวทางเดียวกับท่าน ควรจะรู้และพิจารณานำไปเป็นแบบอย่าง พอจะยกมากล่าวในที่นี้
เป็นผู้ประหยัด สันโดษ
ท่าน มีนิสัยประหยัดในการใช้เครื่องใช้ต่าง ๆ จนเป็นที่ปรากฏ และติดตาติดใจ และเลยหล่อหลอมติดเป็นนิสัยกับลูกศิษย์ไปด้วยหลาย ๆ รูป หลาย ๆ อย่าง เช่น การใช้สบู่ถูตัวของท่าน ท่านจะใช้จนก้อนสบู่กร่อน เหลือเพียงก้อน นิด ๆ เท่านิ้วก้อย ก็ไม่ยอมให้ทิ้งไป แต่ท่านนำไปติดเข้ากับก้อนใหม่ แล้วใช้ถูตัวต่อไปอีก จนแม้เศษเล็ก ๆ นั้น ค่อย ๆ กร่อน หมดไปเลยจริง ๆ ในที่สุด
ถ่านไฟฉาย เมื่อใส่ในกระบอกไฟฉายแล้ว ท่านจะเปิดส่องสว่างดูทางเดิน หรือดูสิ่งของอะไร ก็เปิดเพียงระยะสั้น ๆ พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไร แล้วก็เป็นพอ ท่านก็ดับไว้ อย่างเช่นการที่ท่านออกจากห้องพักมาข้างนอกในตอนตื่นจากจำวัดตอนตี 2 นั้น ท่านจะส่องไฟฉายก็แต่ตอนเปิดประตูออกมาเดินลงพักล่างที่เป็นระเบียง เดินไปที่บ้วนปาก บ้วนปากแล้วเดินมาที่ระเบียง สาดไฟดูทางจงกรม (คือที่ระเบียง) เสีย 1 ครั้ง แล้วก็ดับไว้ เดินจงกรมไปมาที่ระเบียงโดยไม่ต้องเปิดไฟฉาย เพราะหมดความจำเป็นแล้ว บริเวณระเบียงเป็นที่ ๆ ท่านคุ้นเคยเป็นอันดี ไม่มีความจำเป็นต้องใช้แสงสว่างพิเศษใด ๆ เพียงแต่ความสว่างจากแสงเดือน แสงดาวของท้องฟ้าก็เป็นอันเพียงพอแล้ว เมื่อเลิกจงกรมจะไปนั่งพักภาวนาที่เก้าอี้นวมที่ปลายระเบียงจึงเปิดไฟฉาย ส่อง
ดูนิดหน่อย เมื่อนั่งลงที่เก้าอี้นวมแล้วก็ดับไฟฉายไว้ จะเปิดไฟฉายอีกทีก็เมื่อตอนเลิกจากนั่งภาวนาตอนตี 4 เมื่อเข้าห้องเพื่อทำวัตรเช้าก็ปิดไฟฉายไว้ แม้เมื่อจะต้องส่องดูของในที่อื่น ๆ ก็เหมือนกัน ก็ส่องดูพอเห็นเท่านั้น มิได้ส่องกราดไปโน่น ไปนี่ ปรู๊ดปร๊าดไปทั่วและมิได้ใช้อย่างพร่ำเพรื่อเกินกว่าที่เป็นประโยชน์เลย ถ่านไฟฉายของท่านแต่ละชุดที่ใส่เข้ากับกระบอกไฟฉาย จึงใช้อยู่ได้นานมาก บางชุดถึง 2-3 เดือน (แต่ส่วนมากถ่านไฟฉายจะรั่วเละเสียก่อน เพราะถ่านไฟฉายสมัยก่อนทำไม่แข็งแรงดีเหมือนในสมัยนี้ พระผู้อุปัฏฐากต้องคอยดูแล และเปลี่ยนชุดใหม่ให้ท่านเมื่อเห็นว่าถ่านเริ่มจะเยิ้ม)
เทียนไข ที่ท่านใช้จุดที่แท่นบูชาในห้องพัก เพื่อทำวัตร เช้า-ค่ำ เมื่อเสร็จทำวัตรท่านจะดับไว้ มิได้ปล่อยให้ติดอยู่จนหมดเล่ม หรือปล่อยไว้นาน ๆ ดังนี้ เทียนไขที่ตั้งบนเชิงเทียนแต่ละครั้ง ท่านจึงใช้ได้นานนับเดือน แม้ที่แท่นบูชาที่อื่น เช่น ที่ศาลา หรือที่โบสถ์ ท่านก็ให้ทำอย่างนี้
ผ้าใช้ต่าง ๆ เช่น ผ้าเช็ดมือ ผ้าอาบน้ำ ผ้าเช็ดตัว ผ้าอังสะ ผ้าสบง จีวร หลวงปู่จะใช้ผ้าเหล่านี้ด้วยความระมัดระวัง ถนอม และใช้อย่างคุ้มค่า ไม่ทิ้งขว้างเสียง่าย ๆ มีขาดทะลุที่ใด แม้ท่านไม่อาจปะ ชุนได้เอง ก็ให้พระเณรนำไปจัดการให้ แม้ใครจะนำผืนอื่นชิ้นอื่นมาถวาย ท่านก็ยังให้นำผืนเก่านั้นมาใช้ต่อไปเรื่อย ๆ จนเห็นว่าสภาพผ้านั้นทรุดโทรมเกินกว่าที่จะซ่อม ท่านจึงอนุญาตให้นำผืนใหม่มาแทน
ความใช้ของอย่างประหยัดให้คุ้มคุณค่าอย่างนี้ มิใช่ว่าหลวงปู่ท่านตระหนี่แต่ประการใด ท่านมีการแจกจ่ายสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ แก่พระเณร ในโอกาสต่าง ๆ อยู่เสมอ ทั้งสงเคราะห์ ให้นำสิ่งของเครื่องใช้เหล่านั้น ถวายไปยังสำนักวัดวาอื่น ๆ อยู่เป็นประจำ แต่ท่านก็แนะนำพระเณรทุกรูปที่ท่านพอจะแนะนำได้ ให้ใช้สิ่งของทั้งปวงอย่างรู้จักและให้สมคุณค่าของ ๆ นั้นมากที่สุด ไม่ควรใช้อะไร ๆ อย่างสุรุ่ยสุร่าย ด้วยเห็นว่ามีสิ่งของนั้น ๆ เยอะแยะมากมาย ท่านเคยเล่าให้ฟังถึงพระอาจารย์ของท่านที่อบรมสั่งสอนท่านมาว่า เป็นองค์ที่เป็นแบบอย่างงดงามในเรื่องการใช้สิ่งของอย่างประหยัด และสมคุณค่าของ ๆ นั้น ท่านว่ามิใช่เพราะหวงแหนเสียดายในสิ่งของดอก แต่เสียดายปฏิปทา และนิสัยอันดีมีประโยชน์ของสมณะจะเสียไป ท่านว่าหากนักปฏิบัติมีนิสัยแห่งการใช้สิ่งของอย่างประหยัด ใช้ให้คุ้มความมีประโยชน์ของสิ่งของแล้ว จะไม่สิ้นเปลืองอะไร ๆ มากมายเลย ถึงแม้จะมีของเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อยู่ได้ ใช้พอไม่เดือดร้อน ความเป็นอยู่ของนักปฏิบัติธรรมที่มีนิสัยอย่างนี้ จึงสามารถอยู่ได้สะดวกสบาย แม้ในที่ค่อนข้างอัตคัตในเครื่องใช้เครื่องบริโภค เมื่อไม่เดือดร้อนก็เป็นช่องทางให้จิตใจไม่เดือดร้อนกังวล จะฝึกฝนอบรมด้านจิตใจ ก็สะดวกสบายเป็นไปด้วยดีเท่านั้นเอง
เป็นผู้ระมัดระวังตน
โดยปกติหลวงปู่จะระมัดระวังอยู่เสมอ ไม่ให้มีการเบียดเบียนใคร ๆ ไม่ให้กระทบกระเทือนใคร ๆ แม้พระเณรในวัดฯเอง ท่านถือว่าทุกองค์มุ่งมาสู่วัดของท่านเพื่อศึกษาอบรมการปฏิบัติธรรม ต้องการโอกาส เวลา ในการทำความเพียรภาวนาด้วยท่าน ท่านจึงให้โอกาสแก่ทุก ๆ องค์มากที่สุด การจะเรียกใช้สอยในกิจการใดอันเป็นกิจของวัดฯโดยตรง ก็จะต้องเป็นกิจที่ไม่สามารถจะทำได้โดยวิธีใดอื่นแล้วเท่านั้น แม้การเดินเหินไปมา หรือการพูดจา ท่านก็จะทำด้วยความเบา ๆ สงบ สำรวม ไม่ให้มีเสียงอึงคะนึง หรือตึง ๆ ตัง ๆ ท่านบอกว่าการทำอย่างนั้น อาจจะเป็นการกระทบกระเทือนพระเล็ก ๆ ผู้อุปัฏฐากที่อยู่กุฏิใกล้ ๆ กับท่าน หากเผอิญนั่งภาวนาสงบอยู่อาจเสียประโยชน์ได้ หรือการที่ท่านใช้ไฟฉายอย่างสำรวมไม่สาดกราดสูงไปโน่นไปนี่ ก็เพราะเกรงว่าแสงอาจไปกระทบหน้าตาของใคร ทำให้เดือดร้อน หรือหากผู้นั้นทำความสงบกำหนดจิตอยู่ อาจจะทำลายความสงบเป็นสมาธิของเขาได้ เหล่านี้เป็นต้นที่ได้กราบเรียนถามและท่านบอกให้ทราบ ส่วนเรื่องนอก ๆ เช่น การที่ท่านไม่เคยมีการเรี่ยไรในกิจทั้งปวงของท่าน ก็เป็นเพราะเป็นผู้มีความระมัดระวังตนของท่าน ซึ่งเป็นที่ทราบกันมาโดยตลอดอยู่แล้ว
ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นกิจวัตรความเป็นอยู่ในแต่ละวันของหลวงปู่ ในช่วงสมัยที่ท่านมีอายุ ประมาณ 77-80 ปี (พ.ศ.2521-2525) พร้อมเหตุการณ์และเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งที่มีอยู่ในวัดหินหมากเป้งที่หลวงปู่พักอยู่ในช่วงนั้น ความเป็นอยู่ของบุคคลโดยทั่ว ๆ ไป ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสิ่งแวดล้อม และสภาพร่างกายของตน หลวงปู่ก็เช่นเดียวกัน ระยะนั้นท่านยังแข็งแรงพอออกมากวาดตาดและเดินไปไหนมาไหนได้พอสมควร โรคภัยไข้เจ็บก็ยังไม่มีอะไรเด่นชัดเป็นประจำ มีป่วยไข้เป็นหวัดบ้างเป็นครั้งคราว ท้องเสียบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ในสมัยอื่นลักษณะความเป็นอยู่ประจำวันของท่านย่อมจะเป็นอย่างอื่น ย่อมจะไม่มีจังหวะเวลาและลักษณะอาการ รวมทั้งอุปกรณ์สิ่งของที่ใช้ทุกสิ่งทุกประการเหมือนเช่นที่กล่าวมานี้ พวกเราที่เป็นศิษยานุศิษย์ผู้ เคารพเลื่อมใสในท่าน ปรารถนาจะทราบถึงเรื่องราวอันเป็นกิจวัตรประจำวันของท่าน พึงทราบโดยนัยว่าที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงในช่วงสั้น ๆ ช่วงหนึ่งในช่วงชีวิตอันยาวนานของท่าน พึงพิจารณาเลือกเอาส่วนใดที่เห็นแล้วว่า จะเกิดเป็นประโยชน์ต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมนำความก้าวหน้าเจริญรุ่งเรือง มาสู่ตนของตนตามปรารถนาเทอญ