middle spirit
|
 |
« ตอบ #675 เมื่อ: 01 เมษายน 2568, 06:21:13 » |
|
ต้องเห็นบาปในใจเราเสียก่อนคือ ความชั่ว พอคิดชั่วเท่านั้นก็รู้ตัวแล้วรีบแก้ไข อย่าให้คนอื่นทันเห็น อย่างนี้จึงได้ชื่อว่า ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๕๒
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #676 เมื่อ: 02 เมษายน 2568, 06:11:17 » |
|
ธรรมดาจิตจำเป็นต้องมีความคิด ความนึกอยู่เสมอ ท่านเห็นโทษในอารมณ์นั้นๆว่าเป็นเพื่อวัฏฏะ ท่านจึงน้อมเอาจิตมาพิจารณาให้เป็นฌานเสีย เพื่อเป็นเครื่องอยู่ในทิฏฐธรรมของท่าน หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๙๐ ( ทิฐธรรม -[ทิด-ถะ-ทำ] น. ปัจจุบัน, ชาตินี้, ทันตาเห็น. พจนานุกรมแปล ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร )
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #677 เมื่อ: 03 เมษายน 2568, 06:16:36 » |
|
เมื่อกาย วาจา ใจ ประพฤติอยู่ ในสุจริต ๓ ประการ คือ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ผล คือ ความสุขไม่เดือดร้อน ก็เกิดมีขึ้นที่กาย วาจา ใจ นั่นเอง หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๘๑
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #678 เมื่อ: 05 เมษายน 2568, 05:34:14 » |
|
ลองฝึกหัด ตัดความคิดฟุ้งซ่านถึงอดีตและอนาคต เครื่องมือที่ตัดก็ใช้ “สติ “ คืออย่าเผลอไผลปล่อยใจให้คิดถึง เรื่องอดีตหรืออนาคต คิดเมื่อใดให้เรียกใจกลับมาทันที ให้กลับมาสนใจกับปัจจุบัน คือสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า หรือที่พระเรียกว่า ของจริง นี่แหละ แล้วท่านจะพบว่า ในแต่ละวันๆ ความทุกข์จะหายไปจากใจไม่น้อย คติธรรม หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #679 เมื่อ: 06 เมษายน 2568, 07:03:03 » |
|
อายตนะทั้ง 6 จะเป็นกิเลสและเป็นภัย ก็แต่ผู้ที่ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง แล้วเข้าไปยึดถือเอามาเป็นของตนเท่านั้น ผู้ที่รู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว อายตนะทั้งหลายก็จะเป็นอายตนะอยู่ตามเดิม และทำหน้าที่อยู่ตามเคย ใจจะไม่หลงเข้าไปยึดติดเอามาเป็นของตนเลย ที่เรียกว่า สมาธิเกิดขึ้น เพราะเอาความเห็นอันเป็นจริงในสัจจธรรมเป็นอารมณ์ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี (สามทัพธรรม รหัส 4 หน้า 6)***************************************
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #680 เมื่อ: 07 เมษายน 2568, 05:43:21 » |
|
คำว่า จิตไม่นิ่ง ก็คือ มันไม่ผ่องใสนั่นเอง แล้วมันก็บอกอยู่ชัดๆ แล้ว .. เนื้อความว่า กิเลส คือ ความเศร้าหมองของจิต จิตไม่นิ่งเพราะกิเลส มันก็เศร้าหมอง มันขุ่นมัว หลับตาดูจิตของเราเดี๋ยวนี้ก็ได้ ถ้าจิตของเรายังฟุ้งซ่านส่งโน่นส่งนี่อยู่ เรียกว่า มันกระเพื่อมอยู่ มันมีเศร้าหมอง จะไปชำระ จะไปเห็นเรื่องของจิตนั้นเป็นไปไม่ได้.. ครั้นจิตมันนิ่งแน่วลงไปแล้ว กิเลสอะไรก็ช่างจะปรากฏขึ้นมาในที่นั่นเลย ถึงแม้จิตจะแว๊บลงไปนิดเดียวก็ตาม มันเห็นเลย หรือขณะที่จิตนิ่งอยู่ เมื่อจิตวูบวาบออกไปนิดเดียวก็ตาม คือมันจะส่งออกไปหาอารมณ์อะไรที่เกิดขึ้น ย่อมเห็นในขณะที่จิตอยู่ในอารมณ์เดียวนั้น อันนี้เรียกว่า ตามรู้จิต เห็นจิต..
หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี..
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #681 เมื่อ: 08 เมษายน 2568, 06:02:23 » |
|
กายนี้ได้ชื่อว่า เป็นที่ตั้งของความยึดถือ ให้พิจารณาให้เป็นโทษเป็นภัย แล้วเบื่อหน่าย ในความยึดมั่นเป็นขันธ์ จึงจะพ้นทุกข์ได้ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๘๐
|
.
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08 เมษายน 2568, 06:12:02 โดย middle spirit »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #682 เมื่อ: 09 เมษายน 2568, 06:02:08 » |
|
***โลภ โกรธ หลง*** ใครโกรธ...ความโกรธมันก็วิ่งเข้ามาหา ใครโลภ...ความโลภมันก็วิ่งเข้ามาหา ใครหลง...ความหลงมันก็วิ่งเข้ามาหา มันอยู่ทั่วไปหมด มันวิ่งเข้ามาหาตัวใจนั่นแหละ จึงว่ามันรวมที่ใจ ถ้าไม่เห็นใจแล้วก็ไม่เห็นตัวกิเลส เราพิจารณาชำระใจของเราให้ผ่องใส จึงจะเห็นใจอันบริสุทธิ์ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
|
.
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09 เมษายน 2568, 06:05:45 โดย middle spirit »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #683 เมื่อ: 10 เมษายน 2568, 06:00:37 » |
|
เรามาแก้ตัวของเราอย่างเดียว เขาจะโกรธจะเกลียดเรา หรือเขาจะชอบอกชอบใจเรา อันนั้นเป็นเรื่องของโลก เราไม่ได้เอาอันนั้นมาเกี่ยวเกาะไว้กับจิตกับใจของเรา มันก็สบายเลย หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๖๕
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #684 เมื่อ: 11 เมษายน 2568, 06:59:44 » |
|
เมื่อเราเข้าใจหน้าที่อย่างยิ่งของเราคือว่าเรื่อง สติควบคุม สิ่งที่กระทบมันมีอยู่่ตลอดเวลา เพราะกายกับจิตมันอยู่ด้วยกัน เมื่อเรายังต้องอาศัยขันธ์อันนี้อยู่ จำเป็นจะต้องมีเรื่อง กระทบกระเทือนอยู่ตลอดเวลา ธรรมปฏิบัติ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #685 เมื่อ: 14 เมษายน 2568, 07:14:55 » |
|
#ศาสนาสอนที่ตัวเรา ฆราวาสพวกเราบางคน ตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย ศีล ๕ สักตัวเดียวก็ไม่เคยรักษา พอเห็นความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของพระภิกษุสามเณร ก็อย่าเพิ่งถือว่าเลวทั้งหมด การเหมาเอาว่า พระภิกษุเหมือน กันทั้งหมดก็ยังไม่ถูก พุทธศาสนาไม่ได้หมายเอาที่พระ หมายเอาการปฏิบัติต่างหาก พระนั้นอยู่ที่บุคคล แต่ศาสนาไม่ได้อยู่ที่บุคคล ศาสนาเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าบุคคลปฏิบัติผิด ก็เป็นเรื่องบุคคลผิดไม่ใช่ศาสนาผิด ศาสนาก็ยังสอนตรงไปตรงมาอยู่ตามเดิม สอนให้ละชั่วทำดีอยู่ตามเดิม แต่คนไม่ปฏิบัติตาม เมื่อเราปฏิบัติตามคำสอนไม่ได้จะหาว่าศาสนาไม่ดีไม่ได้ นี่ให้พิจารณาอย่างนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ใครจะทำผิดทำเลวทรามอย่างไรเป็นเรื่องศาสนาเสื่อมหมด ยกให้ศาสนาไม่ดีทั้งนั้น บางทีแม้แต่คนเข้าวัดเข้าวามาฟังเทศน์ฟังธรรม รักษาศีล อบรมภาวนาทำกัมมัฏฐาน แสดงกิริยาโกรธกริ้วขึ้นสักทีหนึ่ง โอโฮ! กล่าวโทษศาสนานี้ไม่ดีเลย เข้าวัดเข้าวาจนแก่จนเฒ่าแล้วยังละโลภโมโทสันไม่ได้ พูดอย่างนี้มันก็ผิดไป อย่าพูดอย่างนั้น นั่นเป็นเรื่องของบุคคล ศาสนาสอนให้ละ แต่บุคคลไม่ละ ไม่ทราบจะทำอย่างไร ถ้าเข้าใจได้อย่างนี้ก็สบาย เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะทำอย่างไร ขอตอบว่า เมื่อเขาไม่ทำ เราทำ พากันคิดมานะขึ้นสักคน หรือทุกคนคิดมานะขึ้นมา ลองดูซิ เขาไม่ทำเราทำ กระทำเป็นตัวอย่างเขา ทีนี้มันไม่เป็นเช่นนั้นน่ะซี ส่วนมากพอเห็นเขาไม่ทำ เราก็เลยไม่ทำ เลยพลอยไม่ดีไปตามเขา เมื่อเราไม่ดีก็คอยกล่าวโทษคนอื่น ต่างคนต่างกล่าวโทษซึ่งกันและกันเป็นเรื่องเดือดร้อนวุ่นวาย โอวาทธรรมคำสอน หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #686 เมื่อ: 16 เมษายน 2568, 06:37:42 » |
|
บุญกุศล พึงเข้าใจว่า เกิดที่ใจของทุกๆคน ปลื้มใจมาก มันก็มาก ไม่ใช่อยู่ที่วัตถุสิ่งของ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๗๐
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #687 เมื่อ: 17 เมษายน 2568, 05:39:05 » |
|
เมื่ออารมณ์ทางชั่ว เข้ามาปักอยู่กับจิตกับใจ ทำจิตไม่ให้สงบได้ จำเป็นต้องใช้อารมณ์ทางดีต่อสู้ เอาชนะความชั่ว ด้วยความดีของเรา หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๒๙
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #688 เมื่อ: 18 เมษายน 2568, 05:51:20 » |
|
#ถาม สมัยก่อนพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทวินัยมีน้อย แต่มีพระปฏิบัติตามได้สำเร็จ มรรคผลนิพพานมาก สมัยนี้สิกขาบทวินัยมีมาก แต่มีพระได้สำเร็จมรรคผลมีน้อย นี้เป็นเพราะเหตุใด #ตอบ ปัญหานี้มีมานานแล้วแต่ครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนมายุอยู่ พระมหากัสสปะ เถระเคยทูลถามพระพุทธเจ้าแล้วเหมือนกัน พระที่เข้ามาบวชในธรรมวินัยนี้ เบื้องต้นมีน้อยและเมื่อบวชเข้ามาแล้ว ก็ต้องการทำความเพียรเพื่อพ้นจากทุกข์จริงๆ สิกขาบทวินัยจึงไม่ต้องบัญญัติมากมาย เมื่อพระบวชมามากเข้า บวช เพื่อเจตนาหลายๆอย่างต่างๆกัน ไม่ได้บวชเพื่อความพ้นทุกข์อย่างเดียว จึงประพฤติผิดแผกแตกต่างจากทํานอง คลองธรรมเป็นอลัชชี อันเป็นเหตุทำความเดือดร้อนให้แก่พระที่มาปฏิบัติดี พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติพระวินัย มากขึ้น โดยลำดับ เพื่อปราบอลัชชีเหล่านั้น สิกขาบทวินัยจึงมีมากและผู้สำเร็จมรรคผลนิพพานจึงมีน้อย ที่มา หนังสือ ปุจฉาวิสัชนา ในประเทศ โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
 |
« ตอบ #689 เมื่อ: วันนี้ เวลา 05:36:38 » |
|
ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อพ้นจากทุกข์ ปฏิบัติเป็นที่น่ากราบไหว้บูชา นั่นแหละจึงจะเป็นพระสงฆ์แท้ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๙๒
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|