middle spirit
|
|
« ตอบ #480 เมื่อ: 11 กันยายน 2567, 10:25:03 » |
|
ข้าพเจ้าเป็นคนตรงต่อความจริง จึงไม่อยากให้ใครเขียนชีวประวัติในเมื่อตายไป เรารู้เรื่องของเราเอง เขียนเองดีกว่า ตายแล้วเขาเขียนตามใจชอบเขา เมื่อเขาเกลียดเรา เขาก็จะต้องเขียนตามอารมณ์ที่เขาเกลียด บางทีเกลียดกันด้วยเหตุผลเล็กๆน้อยๆ เขาอาจพรรณนาความชั่วของเรายืดยาว จนเกินกว่าความจริงก็ได้ ตรงกันข้าม เมื่อเขารักและชอบใจเราแล้ว เขาก็จะเขียนยกย่องชมเชยเรา ให้เลอเลิศจนเกินความเป็นจริงไปก็ได้...... คำนำหนังสืออัตตโนประวัติ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี
|
|
|
|
middle spirit
|
|
« ตอบ #481 เมื่อ: 20 กันยายน 2567, 06:24:30 » |
|
ให้เห็นตัวของตนอยู่เสมอ รู้ตัวของตนอยู่เสมอ ทำแล้วให้ปล่อยวาง ให้เข้าหาตัวเองนี้ นิ่งแน่วอยู่เสมอ อันนี้เรียกว่า เป็นผู้ไม่ประมาทโดยแท้ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๙๑
|
|
|
|
middle spirit
|
|
« ตอบ #482 เมื่อ: 21 กันยายน 2567, 07:05:08 » |
|
การเพ่งพิจารณาเห็นทั้งคุณและโทษ เห็นเหตุที่จะให้เกิดโทษ เห็นเหตุที่จะให้เกิดคุณ ชัดแจ้งประจักษ์ด้วยใจแล้ว ทอดธุระปล่อยวาง เรียกว่า การยอมสละด้วยปัญญา หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๓๓
|
|
|
|
middle spirit
|
|
« ตอบ #483 เมื่อ: 22 กันยายน 2567, 06:40:45 » |
|
ความรู้ที่รู้จริง จะต้องรู้แล้วปล่อยวาง ไม่หลงเข้าไปยึดถือเอาความรู้นั้นมาเป็น อัตตา หรือ อนัตตา... เมื่อตรวจดูจิตของตนก็ย่อมผ่องใสสะอาด พอๆกับความรู้ ความสงบไม่ยิ่งหย่อน เป็นความรู้ที่ปราศจากการปรุงแต่งใดๆ ทั้งหมด.... หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี (ธาตุ-ขันธ์-อายตนะ สัมพันธ์ รหัส 4 หน้า 127)
|
|
|
|
middle spirit
|
|
« ตอบ #484 เมื่อ: 23 กันยายน 2567, 06:36:38 » |
|
สติ ตั้งไว้ที่ใจ กำหนดรู้เท่าจิตใจอยู่ตลอดเวลา จิตจะคิดจะนึกทั้งดีและชั่ว ระลึกได้อยู่เสมอ มันก็ไม่มีหนทาง ที่จะไปทำชั่วได้ คิดชั่วได้ ไม่มีหนทางที่จะเที่ยวได้ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๕๗
|
|
|
|
middle spirit
|
|
« ตอบ #485 เมื่อ: 24 กันยายน 2567, 11:06:34 » |
|
จะต้องพิจารณาให้เห็นว่า คือ ใจมันไปเกี่ยวข้อง มันจึงไม่สงบ ใจไม่เกี่ยวข้อง มันก็ไม่มีเรื่องอะไร เมื่อเห็นชัดแล้วก็ปล่อยวางเสีย มันก็หมดเลยเรื่องนั้น หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๖๐
|
|
|
|
middle spirit
|
|
« ตอบ #486 เมื่อ: 25 กันยายน 2567, 05:29:18 » |
|
พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่า ธรรมอย่างยิ่งทั้ง ๔ อย่างนี้เราได้ทำมาแล้ว ซึ่งไม่มีใครจะทำได้เหมือนเรา แต่ก็ไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ได้
ธรรม ๔ อย่างเป็นไฉน ธรรม ๔ อย่าง คือ เกลียดอย่างยิ่ง ๑ กลัวอย่างยิ่ง ๑ ระวังอย่างยิ่ง ๑ ตบะอย่างยิ่ง ๑ เกลียดอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ เห็นร่างกายของตนและของคนอื่นเป็นของน่าเกลียด และทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้เป็นของน่าเบื่อหน่ายแทบจะอยู่ไม่ได้เสียเลย นั่นเรียกว่า เห็นหน้าเดียว คนทั้งโลกพร้อมด้วยตัวของเราทำไม่จึงอยู่มาได้จนบัดนี้ เขาโง่หรือตัวเราโง่ ท่านผู้รู้ทั้งหลายเห็นสภาพตามความเป็นจริงแล้วเกิดสลดสังเวชเบื่อหน่าย ถอนความยินดีในโลกด้วยอุบายแยบคายอันชอบแล้ว กลัวอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ กลัวบาปอกุศลแม้แต่อาบัติเล็กๆ น้อยๆ ก็กลัวเป็นต้นว่า จะยกย่างเดินเหินไปมาที่ไหนก็กลัวจะไปเหยียบมดและตัวแมลงต่างๆ ให้ตายเป็นอาบัติ นั่นเรียกว่า ระวังส่งออกไปนอก พระวินัยท่านสอนให้ระวังที่ใจถ้าไม่มีเจตนาแกล้งทำให้ล่วงเกินก็ไม่เป็นอาบัติ ระวังอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ สังวรกาย วาจา ใจ ไม่ให้เกิดกิเลสบาปอกุศลทั้งหลาย ซึ่งมันล่องลอยมาตาม อายตนะทั้ง ๖ นี้ ระวังจนไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยินสิ่งต่างๆ จนเข้าไปอยู่ในป่าคนเดียว เวลาเข้าไปบิณฑบาตในบ้านก็เอาตาลปัตรบังหน้าไว้ กลัวมันจะเห็นคน อย่างนี้เขาเรียกว่า ลิงหลอกเจ้า กิเลสมันไม่ได้เกิดขึ้นที่อายตนะ แต่มันจะเกิดที่ใจต่างหาก ขอโทษเถิด คนตายแล้วให้ผู้หญิงคนสวยๆ ไปนอนด้วย มันก็นิ่งเฉย ผู้หญิงที่ไปนอนกลับกลัวเสียอีก ตบะอย่างยิ่งเป็นไฉน คือ นักพรตที่ทำความเพียรเร่งบำเพ็ญตบะธรรมที่จะให้พ้นจากทุกข์ในเดี๋ยวนั้น ทำความเพียรตลอดทั้งกลางวันกลางคืน ไม่คิดถึงชีวิตชีวาเลย เหมือนกับกิเลสมันเป็นตัวเป็นตนวิ่งจับผูกเอามาได้ฉะนั้น แท้จริงกิเลสมันวิ่งเข้ามาซุกอยู่ในความเพียร (คือ ความอยากพ้นจากทุกข์) นั่นเอง ไม่รู้ตัวมัน ความอยากทำให้ใจขุ่นมัว น้ำขุ่นทำให้ไม่เห็นตัวปลา ถึงแม้น้ำใสแต่ยังกระเพื่อมอยู่ก็ไม่เห็นตัวปลาเหมือนกัน ความเกลียด ความกลัว ความระวัง และตบะ อย่างยิ่งทั้ง ๔ อย่างนี้ พระองค์ได้ทรงบำเพ็ญมาแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าไม่เป็นไปเพื่อพ้นจากทุกข์ทั้งปวง จึงละเสีย แล้วทรงปฏิบัติทางสายกลางจึงทรงสำเร็จพระโพธิญาณ
จากหนังสือ ปุจฉาวิสัชชนาในประเทศ โดย พระราชนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรํสี) วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
|
|
|
|
middle spirit
|
|
« ตอบ #487 เมื่อ: 27 กันยายน 2567, 05:48:12 » |
|
#การทำสมาธิภาวนา #การทำกรรมฐาน " ภาวนา...คือ การทำจิตใจให้แน่วแน่ เป็นอารมณ์อันเดียวเรียกว่า...ทำสมาธิภาวนา จะยืน เดิน นั่ง นอน หรือจะอะไรก็ตาม ถ้าจิตนิ่งแน่วแน่เป็นหนึ่ง ในอารมณ์อันหนึ่งอันเดียวแล้วเรียกว่า สมาธิภาวนา แท้ที่จริงพระพุทธศาสนา ของเรานั้นสอนเรื่องภาวนาโดยส่วนมาก ระลึกถึงทาน ก็เรียกว่า ภาวนาแน่วแน่อยู่ในอันนั้นเรียกว่า จาคานุสสติ ระลึกถึงศีลก็เรียกว่า ศีลานุสสติ คนที่ไม่มีภาวนานั้น จิตใจฟุ้งซ่าน มันส่งส่ายไม่อยู่ในอารมณ์อันเดียว เรียกว่า ภาวนาไม่เป็น พระเที่ยวป่าเขา เรียกว่า พระกัมมัฏฐาน แท้จริงพระกัมมัฏฐาน มิใช่มีเฉพาะพระที่เที่ยวป่า พระอยู่ตามบ้าน ก็มี กัมมัฏฐา เหมือนกัน แม้ที่สุดฆราวาสที่มีครอบครัวอยู่ ก็มีเหมือนกัน เว้นแต่ไม่พิจารณากัมมัฏฐานของตนเท่านั้นแหละ กัมมัฏฐาน ๕ มีอยู่ในตัวของเรานี้แล้วทุกคน คือ...เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ แต่เราไม่พิจารณาให้มันเห็นชัดขึ้นมาในใจ ของตน ก็เลยเข้าใจว่ากัมมัฏฐานของตนไม่มี ขอให้พิจารณาลงไปเถิดอย่างน้อย วันหนึ่ง ๆ ขอให้ได้สัก ๕ นาที ๑๐ นาที ก็เป็นการดี ทำอะไรอยากให้ได้มาก ๆ จึงจะเอา มันไม่ได้หรอก ดูแต่ตัวต่อทำรัง หรือปลวกทำเรือนอยู่ของมันก็แล้วกัน ค่อยทำไปวันละนิดวันละหน่อย หลายวันเข้า มันหากโตเองหรอก เราทำสมาธิภาวนาก็เหมือนกัน แต่เราทำสมาธิภาวนายังดีกว่าต่อทำรัง หรือปลวกทำเรือนเสียอีก เพราะสิ่งที่เราจะต้องทำมีอยู่พร้อมแล้ว ส่วนต่อและปลวกนั้น เขาต้องขนเอาสิ่งก่อสร้างมาจากที่อื่น เรายังได้เปรียบสัตว์เหล่านั้นอักโข ขอให้ตั้งใจทำให้จริงจังและทำความเลื่อมใสพอใจในกัมมัฏฐาน ของตนให้แน่วแน่เต็มที่ ทำนิดเดียว ก็จะเป็นยิ่งใหญ่ไพศาล เมื่อทำทุก ๆ วัน วันละนิดวันละหน่อย มันหากจะมีวันหนึ่ง โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็น มันหากเป็นเอง คราวนี้ละ เราจะประสบโชคลาภอย่างยิ่ง อย่าบอกใครเลย ถึงบอกก็บอกไม่ถูก เป็นของรู้เอง และซาบซึ้งเฉพาะตนเองคำว่าภาวนานี้ ขี้เกียจ และปวดเมื่อยแข้งขา จะหายไปเอง อย่างปลิดทิ้ง จะมีแต่อยากทำภาวนาสมาธิอยู่ร่ำไป." หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
|
|
|
|
middle spirit
|
|
« ตอบ #488 เมื่อ: 28 กันยายน 2567, 07:36:27 » |
|
ที่วุ่นวายอยู่ในโลกเรานี้ ก็เพราะจิตไม่ได้สงบ อบรมจิตไม่ถึง มันจึงยุ่ง หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๕๐
|
|
|
|
middle spirit
|
|
« ตอบ #489 เมื่อ: 29 กันยายน 2567, 05:58:49 » |
|
รู้อะไร ก็ไม่เท่ารู้จิต เห็นจิตของเรานี้ว่า มันคิดดี คิดชั่ว คิดหยาบ คิดละเอียด เห็นอยู่เสมอ เสมอ จนกระทั่งมันวางความนึกคิด รวมลงไปเป็น เอกัคตารมณ์ เอกัคคตาจิต หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๒๔
|
|
|
|
middle spirit
|
|
« ตอบ #490 เมื่อ: 29 กันยายน 2567, 06:02:15 » |
|
สังฆานุสสติ
|
.
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29 กันยายน 2567, 06:05:58 โดย middle spirit »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
|
« ตอบ #491 เมื่อ: 30 กันยายน 2567, 05:48:22 » |
|
เมื่อทำทาน รักษาศีล ภาวนาแล้ว จิตใจก็เบิกบาน ยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจก็ผ่องใสบริสุทธิ์ มี สติ ตั้งมั่นอยู่ตลอดเวลา เรียกว่า รวบรวมเอาบันไดทั้ง ๓ ขั้น มาไว้ในตัวของเราครบบริบูรณ์แล้ว หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๓๕
|
|
|
|
middle spirit
|
|
« ตอบ #492 เมื่อ: 01 ตุลาคม 2567, 06:17:45 » |
|
อุปสมานุสสติคือ ให้ระลึกถึงความสงบเป็นอารมณ์ สงบจาก โลภ โกรธ หลง ได้แก่พระนิพพาน สงบได้นานก็ได้ นิพพานมาก สงบได้ชั่วครู่ก็ได้ นิพพานชั่วครู่ หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะ เทสรังสีรำลึก
|
|
|
|
middle spirit
|
|
« ตอบ #493 เมื่อ: 02 ตุลาคม 2567, 05:40:34 » |
|
ในตัวของเรามี กิเลส เต็มไปหมด ความขี้เกียจ เหน็ดเหนื่อย ความไม่พยายามที่จะ ละกิเลส ปล่อยตามใจ อันนั้นเลยเป็น กิเลส ซ้อนเช้ามาอีกตัวหนึ่ง หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๖๑
|
.
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
middle spirit
|
|
« ตอบ #494 เมื่อ: 03 ตุลาคม 2567, 08:23:40 » |
|
เราทุกคนที่เป็นชาวพุทธ จงพากันเข้าใจ ที่เกิด ของพุทธศาสนา และรู้จัก วิธีนำคำสอนของพระพุทธเจ้า มาปรับปรุงชีวิตประจำวันของตน ให้เห็นคุณค่าประโยชน์ขึ้นมา หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี จากหนังสือธรรมะเล่มที่๖๓
|
|
|
|
|