หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร
เป็นพรหมของชาวอุบลราชธานี เป็นพรหมของพี่น้องชาวลาว เป็นที่พึ่งของชาวพุทธที่แท้จริง เกียรติคุณเกริกเกรียงไกร ไพบูลย์ ด้วยคุณธรรม มีชื่อเสียงขจรขจายโดยมิต้องมีประชาสัมพันธ์ใดๆแต่วัตถุมงคลทุกรูปแบบที่สร้างแจกจ่ายแก่ศิษย์ผู้ใกล้ชิดสร้างปาฏิหาริย์มากมายส่วนมากที่สร้างมักเป็นฤๅษี เพราะหลวงปู่ศรัทธาฤๅษีเป็นอย่างมาก และฤาษีที่สร้างนั้นมักจะเป็นเนื้อว่าน หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 12 ปี อยู่กับสมเด็จลุนที่เวินไซ นครจำปาสัก ประเทศลาวเป็นเวลา 6 ปี สมเด็จลุนก็มรณภาพ จากนั้นหลวงปู่พรหมมา ได้แสวงหาความวิเวกปฎิบัติธรรมในสถานที่สงบทั้ง ลาว เขมร และไทย ชอบช่วยเหลือชาวชนบทที่แร้นแค้นตามป่าเขาลำเนาไพร มีความเมตตากรุณาต่อมวลมนุษยชาติที่ด้อยโอกาสเพื่อนำความรุ่งเรืองไปให้
หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร นามเดิม แก้ว เป็นบุตรของพ่อแก้ว อ่อนจันทึก กับ แม่สีดา อ่อนจันทึก เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2440 ที่บ้านกุศกร อ.ตระการพืชผล จ.อุบลราชธานี
ในปี พ.ศ. 2452 อายุได้ 11 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรอยู่กับหลวงปู่สมเด็จลุน เป็นลูกศิษย์หลวงปู่สมเด็จลุน ศึกษาวิชาอาคมต่างๆอยู่ 6 พรรษาเมื่อปี 2458 หลวงปู่สมเด็จลนถึงแก่มรณภาพหลังจากทำบุญอุทิศส่วนกุศลเก็บอัฐิหลวงปู่สมเด็จลุนเรียบร้อยแล้วได้ออกเดินทางไปยังจ.สกลนคร
พ.ศ. 2460 อุปสมบทเป็นพระภิกษุอยู่ที่พระบาโพนสัน อ.ท่าพระบาท บริคำไชย ประเทศลาว และได้สร้างวัดอยู่ที่นั่น
พ.ศ. 2461 ไปสร้างวัดป่า สอนวิปัสสนากรรมฐานอยู่ที่บ้านหินบักเปงร่วมสำนักเดียวกันกับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์เสาร์ พระอาจารย์วิโจน์ รันโนบล และพ่อแม่ศรีทัศ ท่าอุเทน หลังจากนั้นได้ออกธุดงค์ไปประเทศลาว ไปธุดงค์ตามป่าตามภูเขาและพำนักอยู่ที่ภูเขาควาย ได้ศึกษาศาสตร์และศิลป์ กับปู่ฤาษีอาจารย์ใหญ่ที่นั่น เป็นเวลา 45 พรรษา จึงได้ออกวิเวกรุกขมูลเพียงลำพังไปจำพรรษาอยู่ที่ภูเห็ดละโงก ประเทศกัมพูชา ซึ่งบริเวณนั้นเรียกว่า สามเหลี่ยมนกแขก จำพรรษาอยู่ที่นั่นประมาณ 9 พรรษา ก็ออกธุดงค์ไปตามเขตชายแดนประเทศไทย-ลาว เข้าไปจนถึงประเทศพม่า ไปจำพรรษาอยู่ภูเขาพนมฉัฐ(สามเหลี่ยมทองคำ) เป็นเวลา 3 พรรษา จากนั้นออกธุดงค์ไปทั่วประเทศไทย ลาว พม่า กัมพูชา และประเทศอินเดีย
พ.ศ. 2518 ได้มาปักกลดชั่วคราวอยู่ที่วัดบุปผาวัลย์ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี ได้สร้างเหรียญรุ่นแรก ชื่อเหรียญ สำเร็จพรหมมา
พ.ศ. 2519 ได้เดินทางจาก อ.โขงเจยมไปตั้งสำนักสงฆ์อยู่ที่เวินเพาะ ปากห้วยไร่ บ้านสำโรง ได้ออกโปรดสัตว์แผ่เมตตาให้แก่พวกลาวอพยพที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น
พ.ศ. 2526 เดินทางออกจากเวินเพาะ ปากห้วยไร่ ออกธุดงค์ไปปักกลดที่บ้านม่วง สร้างโบสถ์
พ.ศ.2529 เมื่อช่วยสร้างโบสถ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้ออกวิเวกรุกขมูลไปอยู่วัดถ้ำแสงธรมพรหมมาวาส บ้านแก้งปลาปก อ.ปากชม จ.เลย
พ.ศ. 2531 ออกเดินทางจาก จ.เลย มาจำพรรษาที่บ้านดงนา อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี ได้สร้างวัดถ้ำสวนหินผานางคอย และบำเพ็ญธรรมอยู่ที่นั่นมาจนถึงทุกวันนี้ ด้วยกุศลแห่งธรรมแผ่ไพศาลไปทั่ว มีพุทธศาสนิกชนให้ความเชื่อถือและศรัทธา จนมีศิษยานุศิษย์มากมาย เป็นมี่รู้จักไปทั่วประเทศ
หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร เดินธุดงควัตรมาอยู่ถ้ำสวนหินภูกระเจียว บ้านดงนา อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี เมื่อต้นปี 2531 หลวงปู่บอกว่าเป็นคืนเดือนหงายคืนพระจันทร์เต็มดวง คืนวันนั้น สัตว์ป่านานาชนิดออกวิ่งขวักไขว่ประหนึ่งว่า ?เจ้าที่ต้อนรบหรือขับไส? เพราะชาวบ้านบอกว่าเจ้าที่ของเขาลูกนี้แรงมาก ไม่มีพระธุดงค์รูปใดหรือใครมาอยู่ได้ แต่หลวงปู่บอกว่าเขาออกมาแสดงความชื่นชมยินดี ท่านยังนั่งสมาธิพบว่า เจ้าที่ อาราธนา ?ให้พักที่เขาลูกนี้เถิด ท่านต้องการอะไร ท่านจะได้ พวกเขาจะจัดหามาถวาย? จากนั้นหลวงปู่ก็ออกบิณฑบาต แผ่ส่วนกุศลให้แก่เจ้าที่เจ้าทาง และได้นำความผาสุกมาสู่ประชาชนที่อยู่ใกล้เคียง มีความรมเยนเป็นสุขกว่าแต่ก่อน แม้แต่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ก็ทรงเสด็จเพื่อนมัสการหลวงปู่พรหมมา เขมจาโร มาแล้วถึง 2 ครั้ง ในขณะนั้นหลวงปู่พรหมมา เขมจาโร มีสุขภาแข็งแรง ปฎิบัติธรรมเป็นนิจ โปรดญาติโยมสม่ำเสมอ และช่วยดูแลชาวบ้านดงนาและหมู่บ้านใกล้เคียง
ขณะนั้นบนลานยอดเขาภูกระเจียวได้ก่อสร้างโบสถ์กึ่งศาลาการเปรียญมูลค่ากว่า 40 ล้านบาท ซึ่งหลวงปู่พรหมมาเจริญพรว่า ฟ้าประทานให้ และยังบอกด้วยว่า เรื่องประวัติส่วนตัวแม้จะมีคนมาจ่ายห้าแสนก็ไม่เปิดเผย หรือใครจะจ่ายสักล้านก็จะบอกว่าตัวเองเก่งหรือมีอภินิหารอะไร ใครอยากรู้อยากให้ไปดูเองที่ ถ้ำสวนหินผานางคอย ภูกระเจียว