อ่านแล้วก็มาอ่านอีกครับ
ชีวประวัติเจ้าปู่สัมเด็จลุน เจ้าปู่สำเด็จลุน เกิดที่บ้านหนองไฮ่ท่า ตาแสงเวินไช เมืองโพนทอง แขวงจำปาสัก พ่อชื่อ เชียงหล้า แม่ชื่อนางคำบู่ ก่อนเจ้าปู่จะลงมาเกิด นางคำบู่ ผู้เป็นแม่ได้นิมิตคำฝันว่า มีดาวเสด็จลงมาจากฟ้าตกใส่กลางเรือนแล้วดาวที่ตกมานั้นเกิดเป็นตู้หนังสือ ต่อจากวันที่ฝันมาหลายวันนางคำบู่ก็ได้ตั้งครรถ์ ๆ อยู่ประมาณ 10 เดือน ก็ได้คลอดลูกออกมาปี พ.ศ. 2396 พ่อแม่ตั้งชื่อให้ว่า ท้าวลุน ๆ เมื่อเจริญเติบโตมาก็เป็นปรกติทุกอย่างเป็นคนเจ้าระเบียบไม่ถูกต้องไม่เอา เมื่ออายุ 12 ปี พ่อแม่ก็ฝึกหัดให้ไถนาซึ่งก็เป็นปรกติของเด็กในวัยนี้ แต่เด็กชายลุนนี้ไถนาไม่เหมือนคนอื่น ๆ พอเอาแอกใส่คอควายแล้วก็ไล่ไปเลยแล้วแต่ควายจะพาไป ก็เลยถูกผู้ใหญ่ต่อว่า ถ้าขี้เกียดก็ไปบวช ซ่ะ ต่อมาพ่อแม่ได้นำไปฝากให้บวชเณรอยู่กับอาจารย์วัดหนองไฮ่ท่า ท้าวลุนเมื่อบวชเป็นเณรก็ปฏิบัติไม่เหมือนคนอื่นคือฉันข้าวมื้อเดียวตลอด การนุ่งสบงห่มจีวร ก็เป็นระเบียบ และมีสิ่งพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือตั้งแต่บวชมาปีกว่า ๆ แล้วไม่เคยอ่านและท่องหนังสือเลย ฉันข้าวเสร็จก็เอาหนังสือตำราต่าง ๆ ไปนอนอยู่หอธรรมาส ค่ำมาก็นอน ไม่เคยอ่าน ท่องหนังสือชักครั้ง เมื่อเห็นเป็นดังนั้นอาจารย์เจ้าวัดจึงเรียกไปชักถาม ว่าทำไมจึงไม่เห็นสวดมนต์ อีกหน่อยชาวบ้านเขาจะว่าได้ ว่ากินข้าวเสียข้าวกินปลาเสียปลาหรือว่าเณรท่องอ่านได้หมดแล้ว เณรลุนก็ตอบว่าพออ่านสวดได้ อาจารย์เจ้าวัดจึงให้ทดลองอ่านและสวดมนต์ จากนั้นเณรลุนก็ได้สวดมนต์ให้อาจารย์เจ้าวัดฟัง เริ่มตั้งแต่ มนต์น้อย มนต์กลาง สัทธา สังฆธา ปาติโมก สวดได้หมดไม่ติดขัด แม้แต่อาจารย์เจ้าวัดก็ยังสู้เณรลุนไม่ได้ ท่านอาจารย์เห็นดังนั้นก็มีความงึดง้ออัศจรรย์ใจตังเองว่า เณรลุนนี้เรียนมาจากที่ไหนจะท่อง สวด อะไรก็ไม่ติดขัด หลังจากผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาเณรลุนก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ต่อมาวันเวลาได้ล่วงมาหลายปีเณรลุนมีอายุได้ประมาณ 18-19 ปี ในระหว่างนั้นมีอาจารย์ใหญ่วัดนาทุ่ง บ้านนาทุ่งกับบ้านเวินไช อยู่คนละฟากน้ำโขง บ้านเวินไชอยู่ทางทิศตะวันตกบ้านนาทุ่งอยู่ทางทิศตะวันออกแต่ก็ไม่ไกลกันเกินไปเป็นบ้านเคยร่วมบุญร่วมทานกันเป็นประจำ อาจารย์ใหญ่บ้านนาทุ่งองค์ที่ว่านี้ได้เจ็บป่วยลงท่านก็คงพิจารณาเห็นว่าสังขารร่างกายคงจะหมดลงในไม่ช้านี้ หลังจากนั้นท่านจึงครองผ้าใส่สังฆามัดอกให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วท่านจึงได้สั่งพระสงฆ์สามเณรพร้อมทั้งญาติโยมไว้ว่า เมื่ออาตมาได้มรณภาพ ห้ามไม่ให้ใครแตะต้องร่างกายและห้ามไม่ให้เอาน้ำมาล้างหน้าโดยเด็ดขาด เมื่อท่านได้สั่งไว้โดยเด็ดขาดแล้วญาติโยมก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกินร่างกายท่าน มีแต่จัดหาโลงใส่ร่างท่านไว้ตามปรกติและมีงานสวดกันไปตามประเพณี ในระหว่างนี้เณรลุนก็ยังไม่ได้บวชเป็นพระ เมื่อได้ข่าวว่าอาจารย์ใหญ่วัดนาทุ่งมรณภาพ เณรลุนจึงตั้งใจเดินทางไปกราบคารวะตามประเพณีอันดีงาม
เมื่อไปถึงแล้ว ก็ร้องขอต่อครูบาอาจารย์และญาติโยมว่า ขอเปิดดูหน้าท่าน และก็ได้รับอนุญาตตามคำขอนั้น ดังนั้นเมื่อเณรลุนเปิดผ้าคลุมร่างท่านออกเณรลุนได้เห็นหนังสือก้อมเล็ก ๆ เหน็บอยู่ที่รักแร้ท่านอาจารย์บ้านนาทุ่งที่มรณะภาพนอนอยู่ในโลงนั้น เมื่อเณรลุนเห็นดังนั้นจึงหยิบเอาไป (ตามคำเล่าที่สืบต่อกันมา เป็นหนังสือก้อมน้อยที่เป็นตำราที่ตกทอดมาจากท่านอาจารย์พระครูโพนเสม็ด ที่อาจารย์บ้านนาทุ่งได้มาจากเมืองจำปาสัก) ในระหว่างนั้นอายุของเณรลุนก็ใกลจะถึงเกณฑ์บวชเป็นพระได้แล้ว แต่ในเมื่อเณรลุนได้หนังสือก้อมเล่มนั้นไปแล้วเณรลุนก็หนีหายไปไม่มีใครเห็นและไม่กลับคืนบ้านเกิด หนีไปประมาณปีกว่าจึงกลับคืนมาบ้านเกิดในวันที่กลับมาถึงบ้านนั้นเป็นวันปาวารนาออกพรรษาเดือน 11 เพ็ญ เณรลุนนั่งแพล่องน้ำโขงมาในเวลาเช้ามาหยุดอยู่ที่หน้าวัดเวินไช เมื่อขึ้นจากเรือมาเณรลุนก็พูดขึ้นว่า จะมาออกพรรษาที่นี่ และจะอยู่วัดเวินไชตลอดไป ครูบาอาจารย์และญาติโยมบ้านเวินไช เมื่อได้ฟังดังนี้แล้วก็ยินดีต้อนรับเณรลุน ด้วยความพอใจของเณรลุนและชาวบ้านก็พูดกันว่าจะสร้างกุฏิให้เณรลุนอยู่แต่เณรลุนก็พูดว่าไม่ให้ทำหลังใหญ่ให้ทำเป็นกระท่อมหลังเล็ก ๆ เท่านั้นจะพอใจมาก ญาติโยมจึงปฏิบัติตาม (ต่อจากนั้นเข้าใจว่าพวกญาติโยมพร้อมทั้งคณะสงฆ์คงจะได้พากันอุปสมบทให้เณรลุนบวชเป็นพระตามจารีตพระวินัย) แต่ไม่ทราบว่าที่บวชนั้นอยู่ที่วัดไหน ใครเป็นอุปัชาญ์อาจารย์สวด ก็ไม่รู้ และได้ถูกตั้งให้เป็นสัมเด็จเจ้าปู่สัมเด็จลุนที่ไหนในปีใด และใครเป็นเจ้าสัทธา ก็ไม่รู้
แต่ถ้าพูดถึงด้านการปฏิบัติ เป็นพระที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยมากสิ่งของเงินทองไม่เคยแตะต้อง ความบกพร่องที่ถือว่าเป็นผิดคือ มีแต่กินเหล้าอย่างเดียว มีนักปราชญ์อาจารย์หลายคนมาสอบถามท่าน ท่านก็ตอบได้และชี้แจงไปไม่ติดขัด
ในสมัยนั้นจะมีหอไตร หนังสือใบลานตัวธรรม ตัวเขียน มีอยู่ตามวัดต่าง ๆ และมีอยู่ในที่ทั่ว ๆ ไป ท่านเจ้าปู่สัมเด็จลุนได้ไปศึกษาค้นคว้าจนหมดทุกที่ อยู่มาครั้งหนึ่งท่านเจ้าปู่สัมเด็จลุนได้แสดงความมหัศจรรย์ให้ปรากฎ ท่านไปบอกให้สามเณรเอามะละกอมาทำสัมตำ ส่วนท่านเองไปเอามะนาวและกะปิที่กรุงเทพมาใส่ มะละกอกำลังตำอยู่ท่านก็มาถึงทันเวลาพอดี และอีกครั้งต่อมาท่านไปงานบุญบั้งไฟที่บ้านด่านปากมูล (ปัจจุบัน อ.โขงเจียม) ระยะทางประมาณ 30 ก.ม. ในเวลาออกเดินทางนั้น เป็นเวลาบ่าย 2 โมง ไปถึงก็เป็นเวลาบ่าย 2 โมง ซึ่งก็มีญาติโยมหลายคนที่ติดตามไป แต่ท่านให้เดินไปก่อนและการไปนั้นก็เดินไปตามธรรมดา แต่หากว่าเวลาไปถึงก็เป็นเวลาบ่าย 2 โมงเหมือนเดิม เวลาไปทางน้ำก็นั่งเรือพายไปบางครั้งมีฝนมีลมมีคลื่นแรงก็ไม่กลัว หรือไปโดยตามปรกติสดวกสบายก็มี ด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวนั้นก็มีข่าวเล่าลือไปทั่วทุกทิศทางอย่างแพร่หลาย จนข่าวลือไปถึงเมืองอุบล ฯ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านเจ้าคุณธรรมบาล ที่อยู่เมืองอุบล ได้ยินคำเล่าลือในเรื่องต่าง ๆ มาก็เลยอยากจะลองไปสืบดูให้ได้ความจริง จึงได้นำคณะออกเดินทางไป การเดินทางในสมัยนั้น ยานพาหนะรถยนต์ก็ไม่มี ต้องใช้ช้างเป็นพาหนะเดินทาง ไปได้ประมาณครึ่งทาง (อยู่ระหว่างไหนก็ไม่ทราบ) ในขณะเดียวกันนั้นทางด้านเจ้าปู่สัมเด็จลุน ท่านรู้ด้วยญาณวิถีอันใดก็ไม่ทราบท่านได้เตรียมตัวออกไปต้อนรับอยู่ระหว่างครึ่งทางนั้น และไปองค์เดียวเพื่อต้อนรับคณะของเจ้าคุณธรรมบาล ท่านได้ครองผ้าใส่สังฆา และมัดอก อย่างดี พร้อมทั้งสพายง้าว ซ้ายขวา และได้ไปพบกันครึ่งทาง ท่านเจ้าคุณนั่งอยู่บนหลังช้างมองเห็น พวกคณะที่ไปด้วยก็เห็น จึงร้องทักขึ้นว่าพระอะไรกันนี่ ถืออาวุธด้วย ทางด้านสัมเด็จลุน ก็ตอบไปว่า มารับนายฮ้อยช้าง มันก็ต้องทำแบบนี้ พอพูดเสร็จก็หายวับไป เมื่อท่านเจ้าคุณใหญ่ได้รับคำตอบอย่างนั้นแล้วก็หวนคิดคำนึงดู ก็เข้าใจ จึงถามคณะที่ไปด้วยว่า ครูบาสพายง้าวเมื่อกี้นี้ไปทางไหน ใคร ๆ ก็ตอบว่าเห็นเดินผ่านไปแล้ว พอจะหันไปดูอีกก็ไม่เห็นแล้วหายไปเร็วมาก ท่านเจ้าคุณใหญ่เมื่อรู้เช่นนี้แล้วก็พอเข้าใจจึงพูดกับบรรดาคณะที่ไปด้วยว่า ครูบาองค์นี้คือสัมเด็จลุน ที่เขาเล่าลือกันทั่วไป ที่พวกเรามีจุดประสงค์มาเพื่อสืบหาความจริง ทีนี้พวกเราก็เห็นตัวจริงแล้ว ก็เลยชวนกันกลับ ถ้าขืนไปก็เสียเหลี่ยมให้เขาเพราะเขาสพายง้าวตามปรกติ ซึ่งเป็นวัตถุที่ไม่มีจิตวิญญาณ ส่วนพวกเรานี่ผิดมากกว่าเขาอีกใช้สัตว์เป็นพาหนะ พูดเสร็จก็พากันกลับ
เหตุการณ์ที่แสดงออกครั้งนี้ทำให้เห็นความรู้ความฉลาดปรีชาสามารถของสัมเด็จลุนที่มีเหนือกว่าสัตรู การแสดงออกท่านใช้วาทะตอบคำทักท้วงของสัตรูเพียงสั้น ๆ ก็สามารถทำให้ผู้มีความสงสัยหายสงสัยได้ในเวลาชั่วพริบตา
และมีอีกครั้งหนึ่งเจ้าปู่สัมเด็จลุนพร้อมเณรองค์หนึ่งเข้าไปทำธุระในเมืองปากเซ จะเป็นเพราะว่าท่านหิวน้ำหรืออะไรก็ไม่รู้ท่านได้แวะเข้าไปร้านขายเหล้าและได้ซื้อมากินพอกินหมดไปครึ่งแก้วก็ถูกตำรวจจับ และนิมนต์ไปหานายที่เป็นฝรั่ง เพราะเวลานั้นเมืองลาวตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งพอไปถึงตำรวจก็รายงานว่า ครูบาองค์นี้กินเหล้า ฝรั่งจึงถามว่า ญาครูทำไมจึงกินเหล้า ไม่รู้หรือว่าเป็นพระเข้าห้ามกินเหล้า สัมเด็จลุนจึงตอบว่า อาตมารู้ว่าเขาห้าม แต่ยังไม่รู้ว่าทำไหมเขาจึงห้าม อาตมาอยากรู้อันนั้น จึงมาซื้อกิน แต่ก็ยังไม่ทันได้กิน ฝรั่งจึงพูดว่า ท่านกินเหล้าแล้วรึ ตำรวจเขาจึงจับท่านมาพร้อมทั้งหลักฐานคือแก้วเหล้าที่ท่านกิน ฝ่ายเจ้าปู่ก็ยังปฏิเสธว่า ยังไม่ได้กิน แก้วนั้นอาจจะเป็นแก้วเหล้าจริง ๆแต่ว่าน้ำที่อยู่ในแก้วที่อาตมากินเข้าไปนั้น มันไม่ใช่เหล้า แล้วฝรั่งก็ซักถามอีกว่า ถ้ามีเหล้าญาครูก็จะกินใช่ไหม เจ้าปู่ก็ตอบว่า อาตมาพูดกับท่านแล้วว่า อาตมาออกมากินเหล้า ฝรั่งจึงให้คนใช้ไปเปิดเอาเหล้าที่ตู้มาเปิด แล้วส่งให้ฝรั่ง ๆ ก็เอามาตั้งบนโต๊ะ ซึ่งหน้าเจ้าปู่แล้วก็บอกว่า ถ้าครูบาจะกินก็กินเลยเจ้าปู่ก็ตอบว่าขอบใจแล้วก็จับแก้วเหล้านั้นมา แต่ก็เทใส่จอกแล้วยกขึ้นเทใส่ปากเลยจนหมดครึ่งแก้วก็วางตั้งลงไว้ที่เก่าต่อหน้าฝรั่งพร้อมกับพูดว่าท่านนี้บาปโกหกครูบาฝรั่งก็ปฏิเสธว่าไม่ได้โกหกอันนี้มันใช่แก้วเหล้าแห้ง ฝ่ายเจ้าปู่ก็พูดต่อว่า ใช่ แก้วนี้ อาจจะใช่แก้วเหล้า แต่น้ำในแก้วมันไม่ใช่เหล้าไม่เชื่อก็เชิญท่านดื่มลองดู เมื่อฝรั่งถูกเจ้าปู่ปฏิเสธทำนองนั้น เขาก็หันมองหน้าเจ้าปู่ เห็นว่าไม่มีอะไรผิดปรกติ เพราะธรรมดาคนกินเหล้าหน้าตาก็ต้องผิดปรกติ เขาจึงจับเอาแก้วมาเทใส่จอกกิน ก็รู้สึกว่าไม่ใช่เหล้า จึงเทให้ตำรวจกิน ตำรวจก็ว่าไม่ใช่เหล้า และเอาแก้วเหล้าที่ตำรวจถือมาเป็นหลักฐาน ที่ว่าญาครูกินเหล้านั้น มาเทกินดูก็รู้สึกว่าไม่ใช่เหล้า ในที่สุดฝรั่งก็ยอมจำนน จึงหันไปพูดกับตำรวจพร้อมทั้งชี้มือแล้วบอกว่า แต่นี้ไปใครว่าญาครูนี้กินเหล้าต้องมีโทษพูดกันมาถึงตรงนี้ก็เลิกแล้วกันไป
ต่อแต่นั้นมาฝรั่งคนนั้นก็มีความงึดง้ออัศจรรย์ และมีความเคารพนับถือเจ้าปู่เป็นอย่างสูง ต่อมาฝรั่งคนนั้นคิดอยากจะนิมนต์ เอาเจ้าปู่ไปเที่ยวชมเมืองฝรั่ง ที่กรุงปารีส จึงแต่งให้คนมานิมนต์ เจ้าปู่จึงถามว่า ไปยังไง ทางทางไหน ผู้มานิมนต์ก็บอกว่า ไปทางเรือกำปั่นข้ามมหาสมุทรหลายวันหลายคืนจึงถึง เจ้าปู่จึงพูดกับผู้มานิมนต์ว่า โฮย เราคนบ้านโคกบ้านป่าเป็นคนกลัวน้ำ เราไม่กล้าไปด้วยหรอก กลับไปบอกเขา ซ่ะ ให้บอกเขาว่าขอขอบใจกับเขามาก ๆ เราไม่กล้าไปเพราะเรากลัวน้ำ กลัวเรือล่ม เราว่ายน้ำไม่เป็น แล้วผู้มานิมนต์ก็กลับไปบอก ตามความเจ้าปู่สั่ง ฝรั่งคนนั้นก็มีความสงสัยว่า หรือว่าเป็นเพราะเราไม่ได้ไปนิมนต์ด้วยตัวเองหรอ ท่านจึงไม่รับ ต่อมาฝรั่งคนนั้น จึงชวนเอาเจ้านายคนลาวจำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งครอบครัวลาวเอง ลงเรือฮีปาวี ที่เอามาจากเมืองฝรั่ง หมายเลขเบอร์ 2 ที่เอามารับใช้การงานอยู่ประเทศลาว พากันมานิมนต์เอาเจ้าปู่เวลานั้นเป็นฤดูฝนปลายเดือน 9 ต่อเดือน 10 น้ำโขงกำลังนองเต็มตลิ่ง เรือฮีปาวีฝรั่งได้มาหยุดที่ท่าวัดบ้านเวินไช จึงพร้อมกันขึ้นมานิมนต์ พูดเหมือนกันกับคณะก่อนที่มา และเจ้าปู่ก็ปฏิเสธเหมือนเดิม สุดท้ายก็พูดว่าถ้าไม่ไปด้วยกันจนถึงเมืองฝรั่ง ก็นิมนต์ไปด้วยถึงเมืองปากเซก็ได้ ฝ่ายเจ้าปู่ก็ยังพูดว่าเป็นคนกลัวน้ำ กลัวเรือล่มอาตมาว่ายน้ำไม่เป็น ฝ่ายผู้มานิมนต์ก็รับรองว่าจะไม่ล่ม เพราะเรือใหญ่สามารถวิ่งผ่านข้ามมหาสมุทรก็ยังได้ แค่แม่น้ำโขงเล็ก ๆ เรานี้ มันไม่ล่มหรอก ฝ่ายเจ้าปู่ก็พูดว่าซ้าไปอีกว่า ถ้ามันจะล่มมันไม่เลือกว่าน้ำใหญ่น้ำน้อย เด๊ ฝ่ายผู้นิมนต์ก็ยังยังยืนยันอยู่เหมือนเดิม สุดท้ายเจ้าปู่ก็อดบ่ลนทนบ่ได้ จึงได้พูดว่า เอ้า ไปก็ไป แต่ว่าถ้าเรือที่นั่งล่มอาตมาจะไม่ไปด้วยน่ะ พูดเสร็จก็พากันลงจากกุฏิไป พอไปถึงเรือใคร ๆ ก็ไต่ไม้แผ่นพาดฝั่งพาดปากเรือขึ้นเรือหมดแล้ว ก็พากันร้องนิมนต์ เจ้าปู่นิมนต์เลย รับประกันเลย ฝ่ายเจ้าปู่ยืนอยู่ปลายสุดของแป้นพาดฝั่งผู้อยู่ในเรือก็นิมนต์เพิ่มว่า นิมนต์เดินเข้ามาเลย รับประกันบ่เป็นหยัง ฝ่ายเจ้าปู่ก็ยกเท้าข้างหนึ่งไปเยียบแป้นพาดเรือ เฮ็ดเหยาะ ๆ ยอง ๆ ก็คนขี้กลัว ในขณะนั้นแคบเรือแม่นเอียงลงจนน้ำไหลเข้าเรือ และ สิ่งของในเรือก็กลิ้งชนกันเสียงดังสนั่น บันดาผู้ที่อยู่ในเรือ โดยเฉพาะครอบครัวของฝรั่งเอง ก็พากันร้องขึ้นว่า เรือจะล่มแล้วนิมนต์ท่านออกซ่ะ บ่เอาแล้ว ผลที่สุดก็บ่ได้เจ้าปู่กลับไปด้วย
ตอนนี้ก็แสดงให้เห็นบทบาดของพระสงฆ์ลาวที่มีความสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างมหัศจรรย์ บ่ว่าแต่คนลาว แม่นแต่คนต่างชาติก็ต้องยอมจำนน และมีความเคารพนับถือ อยู่ต่อมาก็มีนักปราชญ์อาจารย์หลาย ๆ คนใครก็ว่าใครเก่ง ได้พากันมาทดสอบกับเจ้าปู่สำเร็จลุน โดยวิธีพากันเอาหนังสือพระไตรปิฏกเป็นผูก ๆ มาแก้สายสนองออก แล้วซ่ะทั่วไป แล้วให้อาจารย์แต่ละคนเก็บคืน ให้ถูกตามผูกตามมัด ใบอ่อนใบแก่ให้ถูกต้องเหมือนเดิม อาจารย์ผู้ใดก็เฮ็ดบ่ถูก มีอาจารย์เจ้าปู่สำเร็จลุนองค์เดียวทำได้ วิธีของท่าน ๆ ใช้ไม้แส้เล็ก ๆ สอดใบนั้นใส่ใบนี้สอดไปสอดไปจนหมดสำเร็จแล้วก็พากันตรวจดู ก็ถูกหมดไม่มีผิด อันนี้ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อีกอันหนึ่ง