พระพุทธละทายชัยมงคล ตำบลละทาย อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ?>
ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน
The Buddhist Art Conservation Club Of Esan (North Eastern Part Of Thailand)
22 พฤศจิกายน 2567, 11:36:52 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

กติกาในการ เช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่อง | พระเครื่องเมืองอุบลราชธานี | แจ้งปัญหาการใช้งาน
แจ้งเรื่องการยืนยันตัวตนสำหรับผู้ที่จะให้เช่าพระเครื่องฯ | วิธีสมัครสมาชิกเว็บ

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: พระพุทธละทายชัยมงคล ตำบลละทาย อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ  (อ่าน 13196 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
konlathai
Full Member
***

พลังน้ำใจ : 57
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 77

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 7 : Exp 9%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« เมื่อ: 13 กันยายน 2554, 15:19:15 »

พระพุทธละทายชัยมงคล

พระพุทธรูปองค์นี้ เป็นพระพุทธรูปปั้นขนาดใหญ่ หน้าตักกว้าง 8 เมตร สร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาแรงกล้าของชาวบ้านละทายและบ้านใกล้เคียง เพื่อเป็นที่สักการระบูชา พุทธานุสสติแก่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายในแถวกลุ่มสามเหลี่ยม ( ง่าม ) มูล ชี ให้เป็นที่รวมใจต่อไปในภายภาคหน้าชั่วกาลนาน

       พระพุทธรูปองค์นี้ ปางมารวิชัยพุทธศิลป์แบบสุโขทัย มีองค์ประกอบศิลป์ ซึ่งต่างจากที่อื่น ๆ ที่เป็นความคิดของช่างผู้ทำเพิ่มเติมให้เกิดความสวยงามและถูกตำราทางพระพุทธศาสนา มี ฉันพรรณรังสี ซึ่งแปลว่า แสงสว่าง 6 สีอยู่เบื้องหลังพระเศียรพระธรรมจักร 2 ข้าง อันหมายถึงพระธรรมคำสอนขององค์พระศาสดามี 2 อย่าง คือ

        1. โลกียธรรม ธรรมสำหรับชาวโลก
        2. โลกุตตระธรรม ธรรมสำหรับผู้พ้นโลก

       พระสาวกยืนถวายอัญชลีอยู่เบื้องขวาและซ้าย อันได้แก่ พระสารีบุตรผู้เลิศด้วยปัญญา พระโมคคัลลาเถระ ผู้เลิศด้วยฤทธิ์ สาวก 2 รูปนี้ เป็นสัญลักษณ์ของพระสงฆ์ในศาสนา มี 2 อย่างคือ อริยะสงฆ์ และสมมุติสงฆ์

         พระพุทธรูปปางนี้ อยู่ในพระอริยบทนั่งขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา (ตัก ) พระหัตถ์ขวาวางบนพระชานุ ( เข่า ) พระหัตถ์ชี้ลงที่พื้นธรณีปางนี้นิยมทำรัศมีบนพระเศียร

ตามตำนานพระพุทธรูปปางนี้มีเนื้อความต่อจากปางทรงรับหญ้าคามีเนื้อความเป็นมาดังนี้ ครั้นพระมหาบุรุษพุทธางกรูเจ้า ทรงเห็นถาดลอยทวนกระแสน้ำสมตามอธิษฐานจิต เป็นนิมิตอีนดีเช่นนั้น ก็เพิ่มความแน่พระทัยว่าจักรได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยมิต้องสงสัย ก็ทรงโสมนัสเสด็จมายังสาลวัน ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ประทับพระกายที่ใต้ร่มสาลฤกษ์ พอใกล้เวลาสายัณห์ตะวันบ่ายก็เสร็จจากหมู่ไม้สาละ เสด็จดำเนินไปสู่ไม้อสัตถโพพฤกษ์ พบโสตถิพราหมณ์ในระหว่างทาง โสตถิยพราหมณ์เลื่อมใสน้อมถวายหญ้าคา 8 คำ

          พระมหาบุรุษทรงรับหญ้าคาแล้ว เสด็จไปยังร่มไม้อสัตถะในด้านทิศประจิม ทรงวางหญ้าคา 8 กำนั้น ลงที่ควงไม้อัตถะนั้น (ต้นโพธิ์ ) แล้วทรงอธิษฐานว่า ? ถ้าอาตมาจะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมพฺยาณแล้ว ขอจงเกิดเป็นรัตนบัลลังก์แก้วขึ้นรองรับพระสัพพัญญูตตญาณในที่นี้ ? ทันใดนั้นบัลลังก์แก้วอันวิจิตรงามตระการ ก็บันดาลผุดขึ้นสมดั่งพระทัยประสงค์ ควรจะอัศจรรย์ยิ่งนัก

         ต่อนั้นพระมหาบุรุษก็เสด็จขึ้นประทับบนรัตนบัลลังก์ หันพระปฤษฎางค์ ( หลัง ) เข้าข้างต้นมหาโพธิ์พฤกษ์ ผินพระพัตร์สู่ทิศบรูพา ทรงคู้พระเพลาขัดสมาธิ ตั้งพระทัยให้ดำรงสติมั่นด้วยอานาปนาสติสมาธภาวนา แล้วออกพระโอษฐ์ดำรัสพระสัตยาธิฐานบารมีว่า ? ถ้าอาตมาไม่พ้นอาสวกิเลสตราบใด ถึงแม้นว่า พระหทัยเนื้อ หนังจะเหือดแห้ง ตลอดเลือดและมันข้นจนทั่วสรีรกายจะแตกสลายไปก็ตามอาตมาจะไม่ทำลายสมาธิบัลลังก์อันนี้ จะพยายามให้บรรลุเสวยพุทธาภิเภษสมบัติให้จงได้ ตั้งพระทัยมั่นหมายพระสัพพัญญุตญาณ ครั้งนั้น เทพยดาและสมณพรามหณ์สถานทั่วถ้วนทั่ว มีท้าวสหัสหัมบดีพรหม และท้าวมัฆวาน ( พระอินทร์ ) เป็นต้น ก็พากันชื่นชมโสมนัสมหัตทรงซึ่งเครื่องสักการะบูชา บุปผามาลัยมีประการต่างๆ พากันสโมสรสันนิบาตห้อมล้อมแซ่ซร้องสาธุการบูชา มหาบุรุษสุดที่จะประมาณเมตลอดมงคลจักรวาลนี้

       ครั้งนั้น พญามารสวัสดีได้สดับสัททสำเนียงเทพเจ้าบันลือลั่นโกลาหลจึงดำริว่า ? หน่อพุทธางกูรจะล่วงวิสัยแห่งอาตมะ เป็ฯการสูญเสียศักดิ์อันน่าอัปยศอดสูอย่างยิ่ง ควรอาตมะจำไปทำอันตราย ให้ทรงลุกหนีไปให้พ้นจากบัลลังก์อย่าให้ล่วงพ้นวิสัยไปได้ ? พญามารซึ่งมีความพิโรธด้วยกำลังอิสสาจิตครอบงำสันดามาร จึงร้องอุโฆษณาการให้พลเสนามารทั้งสิ้นมาประชุมกันพร้อมด้วยสรรพาวุธและพร้อมพาหนะอันแรงร้ายเหลือที่จะประมาณ เต็มไปด้วยคัดนานต์ท้องฟ้า พญามารวัสวดีขึ้นช้างคีรีเมขละ นิรมิตรมือหนึ่งพ้นมือ ถืออาวุธพร้อมสรรพ นำกองทัพมารอันแสนร้อนเหาะมาโดยนภาลัยประเทศ เข้าล้อมเขตรัตนบัลลังก์ของมหาบุรุษไว้อย่างแน่นหนา ทันใดนั้นบรรดาเทพเจ้าที่พากันมาแวดล้อมถวายสักการบูชาหน่อพระชินสีห์อยู่ ต่างมีความกลัว พากันหนีไปยังขอบจักรวาล ทิ้งให้พระองค์ทรงต่อสู้กับพญามารแต่เพียงผู้เดียว เมื่อมหาบุรุษพุทธกูรทรงเปล่าเปลี่ยวเหลียวผู้ช่วยบ่มิได้ จึงตรัสเรียกทวยทหารของพระองค์ 30 เหล่า กล่าวคือ พระบารมี 30 ทิศ ด้วยพระคาถาพระดำรัสว่า ? อายนตุ โภนโต อธิ ทานสีลา ? เป็นอาธิความว่า ? มาเถิดพวกท่านทั้ง 30 กอง พร้อมกันจับอาวัธกับหมู่มาร ณ บัดนี้ ครั้งนั้นพระบารมีธรรม 30 ประการ ต่างก็สำแดงกายให้ปรากฏดุจทหารกล้า ถืออาวุธพร้อมมือ พร้อมที่จะเข้าชิงชัยกับหมู่พญามารและเสนามารรอพระบรมโองการ ก็พิโรธโกธรกริ้ว สั่งให้เสนามารรุกเข้าทำอันตรายหลายประการจนหมดฤทธิ์ บรรดาสรรพาวุธ ศาสตรา ยาพิษที่พุ่งซัดไปกลายเป็นบุปผามาลัยพระองค์จนสิ้น

       ครั้งนั้นจึงตรัสกะพระมหาบุรุษด้วยสันดานพาลว่า ? สิทธัตถะกุมาร บัลลังก์แก้วนี้เป็นของเรา เกิดเพื่อบุญเรา ท่านเป็นคนไม่มีบุญ ไม่ควรนั่ง จงลุกไปเสียโดยเร็ว ? พระมหาบุรุษพุทธางกูรเจ้าก็ตรัสตอบว่า ? ดูกรพญามาร บัลลังก์แก้วนี้ เกิดขึ้นด้วยบุญของอาตมะที่ได้บำเพ็ญมาแต่อสังเขยยกัปป์ จะนับประมาณมิได้ ดังนั้นอาตมะผู้เดียวเท่านั้นที่จะสมควรนั่ง ผู้อื่นหาสมควรไม่ พญามารได้โต้แย้งว่า ? ที่ท่านว่ามานั่นไม่เป็นจริงให้ท่านหาพยานมายืนยันว่า ท่านได้บำเพ็ญกุศลมาจริง ให้ประจักษ์เป็ฯสักขีพยานในที่นี้ ? เมื่อพระมหาบุรุษไม่ทรงเห็นผู้ใด ใครกล้ามาเป็นสักขีพยานให้ในที่นั้นได้จึงตรัสเรียกนางวสุนธราว่า ? ดูกร วสุนธรา นางจงมาเป็นสักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลของอาตมาในกาลบัดนี้ด้วยเถิด ? ลำดับนั้น นางวสุนธรา เจ้าแห่งธรณีก็ปรากฏกาย ทำอัญชลีถวายอภิวาทแล้ว เปล่งวาจาประกาศให้พญามารทราบว่า ? พระมหาบุรุษได้บำเพ็ญกุศลมากมายเหลือคณานับ แม้แต่เพียงน้ำกรวดที่ข้าพเจ้าเอามวยผมรองรับไว้บนเศียรเกล้า ก็มีมากพอจะยืดถือเอาเป็นหลักฐานได้ ? นางวสุนธรากล่าวแล้วก็บรรจงเอาหัตถ์อันเรียวงามปล่อยมวยผม บีบน้ำกรวดที่สะสมไว้แต่อเนกชาติให้ไหลออกมาเป็นทะเลหลวงท่วมทับเสนามารทั้งปวงให้จมลงวอดวาย กำลังน้ำได้ซัดเอาช้างคีรีเมขละให้ถอยร่นลงไปติดขอบจักรวาล ครั้งนั้นพญามารตกตะลึงเห็นอัศจรรย์ด้วยมิเคยเห็นมาก่อนท ก็ประนมหัตถ์ถวายนมัสการยอมปราชัยพ่ายแพ้แก่บุญญาบารมีของมหาบุรุษ แล้วก็อันตรธานหายไป ให้พระมหาบุรุษทรงชนะมารได้อย่างเด็ดขาด ตั้งแต่เวลาเย็นพระอาทิตย์ยังมิทันอัสดงคต ด้วยพระบารมี 30 ประการนี้แล


* dscf0007.jpg (83.33 KB, 912x1368 - ดู 1902 ครั้ง.)

* Rbanlathai595.jpg (33.79 KB, 640x480 - ดู 1978 ครั้ง.)

บันทึกการเข้า
konlathai
Full Member
***

พลังน้ำใจ : 57
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 77

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 7 : Exp 9%
HP: 0%



ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: 13 กันยายน 2554, 15:21:19 »

พระพุทธละทายชัยมงคล


* dscf0008.jpg (102.4 KB, 480x720 - ดู 1700 ครั้ง.)

* งานแสดงแสงสีเสียงตำนานคนดีศรีละทาย 2554.jpg (293.78 KB, 2514x588 - ดู 1638 ครั้ง.)

บันทึกการเข้า
บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน
ยิ้มเย้ยยุทธจักร
Administrator
*****

พลังน้ำใจ : 1197
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1328

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 29 : Exp 61%
HP: 0.1%



จงเป็นดั่งผีบ้าแล้วท่านจะปราศจากความทุกข์

ubonbc@hotmail.com
ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #2 เมื่อ: 14 กันยายน 2554, 13:06:09 »

เยี่ยมครับท่าน คนละทาย ผ่านไปกันทรารมย์ต้องแวะไปกราบเสียแล้วครับ

บันทึกการเข้า

ราคาพระคือการอุปทานหมู่ของมนุษย์ ศรัทธาต่างหากที่จะอยู่คู่กับเราตลอดไป
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.19 | SMF © 2006-2009, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!