๑๐๐ ปีที่แล้ว "พระป่า"หาได้เป็นที่ยอมรับนับถือ ?>
ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน
The Buddhist Art Conservation Club Of Esan (North Eastern Part Of Thailand)
04 ธันวาคม 2567, 00:24:39 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

กติกาในการ เช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่อง | พระเครื่องเมืองอุบลราชธานี | แจ้งปัญหาการใช้งาน
แจ้งเรื่องการยืนยันตัวตนสำหรับผู้ที่จะให้เช่าพระเครื่องฯ | วิธีสมัครสมาชิกเว็บ

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ๑๐๐ ปีที่แล้ว "พระป่า"หาได้เป็นที่ยอมรับนับถือ  (อ่าน 8710 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
deknoy
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 492
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 632

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 20 : Exp 39%
HP: 0.1%



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 22 ตุลาคม 2555, 14:32:37 »

ทุกวันนี้น้อยคนจะรู้ว่าเมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้ว "พระป่า"หาได้เป็นที่ยอมรับนับถืออย่าง กว้างขวางเช่นปัจจุบันไม่


ตรงกันข้ามกลับถูกมองด้วยสายตาหวาดระแวง ยิ่งพระป่าสายอีสานที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ด้วยแล้ว ผู้ปกครองสงฆ์ในเวลานั้นถือว่าเป็นตัวปัญหา ที่ต้องจัดการหรือไม่ก็ต้องขับไล่ออกไปให้พ้นจากเขตปกครองเลยทีเดียว เพราะมองว่าพระเหล่านั้นนอกจากอยู่อย่างไม่เป็นหลักแหล่ง ไม่สังกัดวัดที่แน่นอนแล้ว ยังไม่สนใจศึกษาพระปริยัติธรรม อันเป็นนโยบายสำคัญของคณะสงฆ์ขณะนั้น มิหนำซ้ำยังชักชวนพระจำนวนไม่น้อยให้ละทิ้งปริยัติธรรม หันมาฝักใฝ่ในวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งผู้ปกครองสงฆ์จำนวนไม่น้อยเห็นว่าเป็นเรื่องงมงายไม่เป็นเหตุผลตามหลักพุทธศาสนา

เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นที่กล่าวขานกันในเวลานั้นก็คือ การขับไล่คณะศิษย์ของหลวงปู่มั่นออกจากจังหวัดอุบลราชธานีในปี ๒๔๖๙ คราวนั้นพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ซึ่งเป็นศิษย์คนสำคัญของหลวงปู่มั่นนำพระป่ากว่า ๕๐ รูปเดินธุดงค์มาปักกลดในป่าบ้านหัวตะพาน โดยมีแม่ชีและฆราวาสนับร้อยร่วมคณะมาด้วย เมื่อทราบข่าวเจ้าคณะมณฑลอีสาน ได้สั่งการให้เจ้าคณะอำเภอและเจ้าหน้าที่จากอำเภออำนาจเจริญและม่วงสามสิบขับไล่ท่านเหล่านั้นออกจากป่า ขณะเดียวกันก็ห้ามมิให้ประชาชนใส่บาตรให้คณะธุดงค์ แต่พระอาจารย์สิงห์ปฏิเสธที่จะออกจากพื้นที่ โดยยืนยันว่าท่านเป็นชาวอุบล และไม่ได้ก่อปัญหาใด ๆ เรื่องยุติลงได้เมื่อเจ้าคณะจังหวัดได้มีลิขิตถึงนายอำเภอให้ผ่อนปรนในเรื่องนี้ หลังจากที่ได้รับการร้องขอจากศิษย์หลวงปู่มั่นเช่น พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

เจ้าคณะมณฑลอีสานท่านนี้ คือพระโพธิวงศาจารย์(อ้วน ติสโส) อย่างไรก็ตามเมื่อท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระพรหมมุนี ทัศนคติของท่านต่อพระป่าก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ท่านหันมาศรัทธาเลื่อมใสหลวงปู่มั่นและพระป่า สาเหตุสำคัญก็เพราะท่านได้ประจักษ์ถึงคุณค่าของสมาธิภาวนา ก่อนหน้านั้นท่านล้มป่วยมาเป็นเวลานาน แต่ได้รับการเยียวยาจนหายขาดจากพระอาจารย์ฝั้น ซึ่งไม่เพียงใช้สมุนไพร หากยังอาศัยสมาธิภาวนาในการรักษาด้วย และยิ่งมีศรัทธาปสาทะในกรรมฐานมากขึ้น เมื่อได้รับคำแนะนำจากพระอาจารย์ลี ธัมมธโรแห่งวัดอโศการาม ซึ่งเป็นลูกศิษย์อีกท่านหนึ่งของหลวงปู่มั่น อานิสงส์ของสมาธิภาวนานั้นประจักษ์แก่ท่านอย่างชัดเจน จนถึงกับอุทานว่า "ตลอดชีวิตของเรา เราไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า สมาธิภาวนาจะมีประโยชน์ ถึงเพียงนี้"

ในเวลาต่อมาท่านได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ดำรงตำแหน่งสังฆนายก ทำหน้าที่ปกครองทั้งสังฆมณฑล ตามกฎหมายคณะสงฆ์ในเวลานั้น ในช่วงนี้เองที่ท่านได้พบกับหลวงปู่มั่น หลังจากที่ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมานานผ่านลูกศิษย์ของท่าน เมื่อได้สนทนาธรรมกับหลวงปู่มั่น สมเด็จ ฯ อดพิศวงไม่ได้ในความลุ่มลึกแห่งธรรมของท่าน ขณะเดียวกันก็แปลกใจว่าหลวงปู่มั่นเข้าใจธรรมอย่างลึกซึ้งได้อย่างไร ในเมื่อท่านเรียนปริยัติธรรมน้อยมาก นอกจากไม่ได้เป็นเปรียญแล้ว ยังไม่สำเร็จนักธรรมเอกด้วย ในทัศนะของสมเด็จ ฯ คนเราจะเข้าใจธรรมได้ก็ต้องผ่านการศึกษาจากตำรา ตัวท่านเองก็ได้รับการศึกษาในทางปริยัติธรรมสูงถึงระดับเปรียญโท แต่ก็ยังมีความรู้ทางธรรมไม่เท่าหลวงปู่มั่น ซึ่งครั้งหนึ่งถูกมองว่าเป็น "พระจรจัด"

ด้วยความสงสัยดังกล่าว สมเด็จ ฯ จึงถามหลวงปู่มั่นว่า ในเมื่อท่านอยู่แต่ในป่า ไม่มีตำรา จะเรียนรู้ธรรมจนสอนพระและญาติโยม ได้อย่างไร หลวงปู่มั่นตอบสั้น ๆ ว่า

"ธรรมนั้นมีอยู่ทุกหย่อมหญ้าสำหรับผู้มีปัญญา"


เรื่องโดย พระไพศาล วิสาโล

ที่มา: https://www.facebook.com/photo.php?f...&type=1&ref=nf


(มีต่อ)

thxby11920ส่องสนามเมืองนักปราชญ์, บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน
บันทึกการเข้า
deknoy
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 492
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 632

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 20 : Exp 39%
HP: 0.1%



ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2555, 14:33:17 »

เมื่อหลวงพ่อลีสอนพระสมเด็จฯ.........

เรื่องของธรรม เป็นหลักธรรมชาติที่เป็นกลาง ตัวธรรมะเองไม่มีเพศไม่มีวัย เป็นหลักธรรมชาติที่มีอยู่โดยทั่ว แล้วแต่ใครจะสามารถไขว่คว้าเอามาได้ การปฏิบัติธรรม จึงเป็นวิชาที่ต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวเป็นอย่างมาก เพราะต้องทำเอง ใครทำแทนใครไม่ได้!!
การที่บุคคลคิดที่จะเผย แผ่ศาสนานั้น เป็นสิ่งที่ดี แต่ที่ถูก ต้องควรเผยแผ่ในใจตนก่อน เพราะจุดศูนย์กลางแห่งการปฏิบัติ มิใช่อยู่ที่พระพุทธเจ้า หรือครูบาอาจารย์เพียงอย่างเดียว หากอยู่ที่ตัวผู้ปฏิบัติเอง พระพุทธเจ้าจึงจัดสรรธรรมเพื่อเทวดา มนุษย์ แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานไว้อย่างลงตัว เหมาะสม "ธรรมจึงไม่มีวัย ใจจึงไม่มีกาล เป็นสภาพที่ทรงตัวอยู่ เป็นธรรมฐีติ" ผู้รู้ทั่วถึงธรรม คือ พระนิพพาน จึงอยู่เหนือไตรภูมิ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่หวนกลับมาเป็นทาสของกิเลสตัณหาได้อีก!!
ธรรมไม่มีวัย ใจไม่มีกาล คนจะดีจะชั่วจะบริสุทธิ์ ขึ้นอยู่กับความประพฤติและการกระทำ ไม่ใช่ว่า ชาติตระกูลดี เกิดนาน บวชนาน จะดีบริสุทธิ์ขึ้นมาได้!!! -ทางนั้น ไม่ใช่ทางแห่งพุทธธรรม....

ขอนำเรื่อง ท่านพ่อลี สอนสมเด็จพระมหาวีรวงศ์(ติสโส อ้วน) เล่าโดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน มาให้ศึกษาทราบโดยทั่วกัน
เพราะอะไร ? เพราะสมเด็จฯผู้มีปฏิปทาอย่างนี้ หาได้ยากยิ่งนัก!!
เพราะสมัยปัจจุบันนี้ อย่าหวังเลยว่า จะหาพระสมเด็จฯที่อ่อนน้อมถ่อมตน ยอมลดตน ลดทิฏฐิมานะ เพื่อแสวงหาธรรมขั้นสูงนั้นเจอ.....หางมเข็มในมหามุทรยังง่ายเสียกว่าเป็น ไหนๆ!!!
ในสมัย ที่ท่านพ่อลีอยู่จำพรรษากับสมเด็จพระมหาวีรวงศ?(ติสโส อ้วน) วัดบรมนิวาส ปทุมวัน กรุงเทพฯ ท่านได้รับความเมตตาจากเจ้าประคุณสมเด็จฯเป็นอย่างมาก...แต่สมเด็จฯท่านไม่ ค่อยจะเชื่อน้ำยาพระกรรมฐานสักเท่าไร ท่านเคยออกคำสั่งไล่พระกรรมฐานออกจากป่า แม้หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เองก็เคยถูกท่านไล่มาแล้ว!!!
ท่านพ่อลี จึงคิดหาทางที่จะดัดนิสัยสมเด็จฯให้รู้เสียบ้างว่า "ธรรม ของจริง ผู้รู้จริงเป็นอย่างไร? สมเด็จฯท่านอ่านตำรามาก ชอบวิจารณ์วิจัย แต่วันๆผ่านไปโดยไม่สนใจปฏิบัติสมาธิภาวนาพิจารณาสังขาร ทำแต่งานเผยแผ่ภายนอก คิดดูแล้วก็น่าสงสาร ท่านเป็นผู้มีคุณูปการต่อเรา เราต้องปฏิการตอบแทนพระคุณท่านด้วยธรรมที่รู้เห็นมาตามสติปัญญาที่มี"
เมื่อท่านพ่อลีคิดอย่างนั้น ท่านก็เริ่มปฏิบัติการ เบื้องต้น ท่านจึงกำหนดจิตเพ่งกสิณน้ำและไฟ
....ในบางคราวเพ่งกสิณน้ำใส่สมเด็จฯ สมเด็จฯก็จะหนาวสะบั้นสั่นเทาเหมือนคนเป็นไข้จับสั่น
....บางคราวเพ่งกสิณไฟ กำหนดเป็นไฟไปเผา สมเด็จฯร้อนรนกระวนกระวายผ่าวไปทั้งร่าง!!!

thxby11921ส่องสนามเมืองนักปราชญ์, บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน
บันทึกการเข้า
deknoy
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 492
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 632

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 20 : Exp 39%
HP: 0.1%



ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2555, 14:33:43 »

แต่การ เพ่งกสิณ ทั้งนี้ไม่ให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่กลับเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อยๆ สมเด็จฯท่านจึงเรียกท่านพ่อลีมาถามว่า
"เอ...วันนี้มัน มันเป็นอะไรกันนะ เดี๋ยวร้อนเหมือนถูกไฟเผา เดี๋ยวหนาวจนสะบั้น"
เมื่อ ท่านพ่อลีเข้าไปหา ทำทีท่าจับโน่นจับนี่ พูดว่า "ไหน ...ไหน มันเป็นอะไร? อากาศร้อนหนาว มันก็เปลี่ยนแปลงไปบ้างแหละขอรับเจ้าประคุณ!!"
เมื่อ เป็นดังนี้หลายครั้งหลายหน ด้วยความที่สมเด็จฯท่านเป็นนักปราชญ์ฉลาดหลักแหลม ช่างสังเกตหาเหตุผลเสมอ จึงเอะใจเป็นที่น่าสงสัย เพราะถ้าท่านพ่อลีมาเมื่อใด อาการนั้นก็หายทันที!!
ท่านจึงพูดกับพระใกล้ชิดว่า "เหตุที่เป็นดังนี้....ท่านลีคงทำเราแหละ เราเคยดูถูกพ่อของพระกรรมฐาน คือ ท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่าน"
หลัง จากนั้นมา สมเด็จท่านก็เข้าใจในพระป่า อุดหนุนส่งเสริมในการสร้างวัดป่ากรรมฐาน เช่น วัดป่าสาละวัน จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นวัดที่สำคัญ เป็นกองทัพธรรมกรรมฐานในสมัยนั้น
ต่อมาสมเด็จท่าน ขอร้องให้ท่านพ่อลีสอนสมาธิให้ทุกวัน เมื่อท่านปฏิบัติได้ถึงขั้นจิตลงสู่ความสงบ ท่านถึงกล่าวชมท่านพ่อลีว่า.....
"...คำ พูดของคุณแปลกจากพระกรรมฐานองค์อื่น แม้เราจะทำไม่ได้ ไม่ถึง ก็เข้าใจได้ชัดแจ้ง ไม่สงสัย พระอาจารย์มั่น พระอาจารย์เสาร์ ที่เคยอยู่ใกล้ชิดกับเรา เราก็ไม่ได้ประโยชน์เหมือนคุณมาอยู่กับเรา เพราะเรารู้สึกมีสิ่งแปลกประหลาดใจหลายอย่างในขณะนั่งสมาธิ" แล้วเจ้าประคุณสมเด็จฯท่านก็เผยความในใจว่า
"...เรา ไม่เคยนึกเคยฝันเลยว่า การนั่งสมาธิจะมีประโยชน์มากอย่างนี้ เราบวชมานานก็จริง ไม่เคยเกิดความรู้สึกอย่างนี้เลย แต่ก่อนเราไม่นึกว่า การทำสมาธิเป็นของจำเป็น แต่บัดนี้เราได้เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริง อันมีผลปรากฏที่ใจแล้ว"
ด้วยความเมตตาที่ท่านมีต่อท่านพ่อลี ท่านจึงกำชับว่า
"...ท่าน ลี..เธอต้องอยู่กับเราจนตาย ถ้าเราไม่ตายจะหนีไปไหนไม่ได้ จะมาเฝ้าหรือไม่เฝ้าอยู่ปฏิบัติก็ตาม ขอให้รู้ว่าอยู่กับเราเท่านี้ ก็พอ"....

thxby11922ส่องสนามเมืองนักปราชญ์, บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน
บันทึกการเข้า
deknoy
VIP Member
*****

พลังน้ำใจ : 492
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 632

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 20 : Exp 39%
HP: 0.1%



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: 22 ตุลาคม 2555, 14:34:24 »

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ได้กล่าวสรุปไว้อย่างน่าฟังว่า "ท่าน พ่อลีนี่เอง เป็นผู้ที่สามารถเอาชนะใจสมเด็จฯได้ แต่ก่อนนั้น ท่านเป็นคนบ้ายศ แล้วเที่ยวขนาบกรรมฐานไปทั่ว เที่ยวไล่พระกรรมฐานที่อยู่ในป่าในเขา หลวงปู่มั่นก็เคยถูกไล่!!"
ต่อมา ในงานเผาศพหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล สมเด็จฯได้พบกับหลวงปู่มั่น ท่านจึงเดินเข้าไปหา และพูดกับหลวงปู่มั่น ว่า....
"เออ!! ท่านมั่น เราขอขมาโทษเธอ เราเห็นโทษแล้ว แต่ก่อนเราก็บ้ายศ!!"
หลวงตามหาบัว เล่าพร้อมกับหัวเราะ มีรอยยิ้มหน่อยๆที่ริมฝีปาก เป็นกิริยาที่น่ารักเคารพของพระอริยเจ้าผู้สงบระงับ
นี่เองสาระ สำคัญในบทนี้ ท่านผู้มีธรรมท่านปฏิบัติต่อกันด้วยความงดงาม ถือธรรมวินัยเป็นใหญ่ ไม่ได้ถือยศตำแหน่ง อันกิเลสแต่งแต้มให้ลุ่มหลง เหมือนในยุคปัจจุบัน
ผู้รักธรรมจึงยอมตน สละตน จากความยึดมั่นถือมั่น ไปสู่ความว่างเปล่าจากกิเลส แต่เต็มตื้นไปด้วยคุณธรรม
เพราะ การบรรลุธรรม บรรลุด้วยใจ หาใช่บรรลุด้วยยศฐาบรรดาศักดิ์ เพศภาวะ ชาติตระกูล ญาติพี่น้อง ทรัพย์สินเงินทองไม่ หากอยากได้ต้องมีการประพฤติปฏิบัติ พระกรรมฐานมีวิชา มีธรรม มีศีล และมีชีวิตอันอุดมไปด้วยความดีเท่านั้น...เพียงเท่านั้นจริงๆ!!!.....


http://board.palungjit.com/f63/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD100%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%96%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88-363580.html

thxby11923ส่องสนามเมืองนักปราชญ์, บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.19 | SMF © 2006-2009, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!