ประวัติโดยสังเขป หลวงปู่คำคนิง จุลมณี (สนฺจิตโต) ?>
ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน
The Buddhist Art Conservation Club Of Esan (North Eastern Part Of Thailand)
22 พฤศจิกายน 2567, 14:19:23 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

กติกาในการ เช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่อง | พระเครื่องเมืองอุบลราชธานี | แจ้งปัญหาการใช้งาน
แจ้งเรื่องการยืนยันตัวตนสำหรับผู้ที่จะให้เช่าพระเครื่องฯ | วิธีสมัครสมาชิกเว็บ

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติโดยสังเขป หลวงปู่คำคนิง จุลมณี (สนฺจิตโต)  (อ่าน 7799 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
คนโก้
Global Moderator
*****

พลังน้ำใจ : 687
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 678

Level and Hp mod by the DtTvB :: version 1.02 :: Made for Zone-IT.com Level 21 : Exp 12%
HP: 0%



"ทางไปสวรรค์มันฮก ทางไปนรกมันแปน"

ego-2519@hotmail.com
ดูรายละเอียด
« เมื่อ: 30 สิงหาคม 2555, 06:38:50 »

ประวัติโดยสังเขปหลวงปู่คำคนิง   จุลมณี  (สนฺจิตโต)
วัดถ้ำคูหาสวรรค์  ตำบลบ้านด่าน  อำเภอโขงเจียม  จังหวัดอุบลราชธานี

ชาติกำเนิด
   หลวงปู่คำคนิงเกิดวันพุธ  เดือน ๔  ปีกุน  ที่บ้านหนองบัว  แขวงคำม่วน  ประเทศลาว  บิดาชื่อคุณพ่อคินทะโนราช  มารดาชื่อคุณแม่นุ่น  มีพี่น้อง ๕ คน  หลวงปู่เป็นคนที่ ๓  ปัจจุบันเสียชีวิตหมดแล้ว
ชีวิตการครองเรือน
  เมื่ออายุได้ ๑๘ ปี ได้มีครอบครัวและมีบุตรด้วยกัน ๒ คน  ชีวิตการทำงานเริ่มแรกท่านทำงานเป็นหัวหน้ากรมโยธา  ทำงานได้ ๘ ปี ก็เกิดเบื่อหน่าย  หันมายึดอาชีพค้าขายประมาณ ๖ ปี  ท่านเกิดเบื่อหน่ายในชีวิต  เห็นว่า ชีวิตมีความตายเป็นที่สุด  ได้แต่คิดทบทวนชีวิตของท่าน  ตั้งแต่เล็กเคยอยู่กับพ่อแม่  ได้รับทั้งความรักความอบอุ่น  จนกระทั่งเข้าสู่วัยหนุ่ม ต้องออกมาต่อสู้กับโลกภายนอกและรับผิดชอบหน้าที่การงาน  เลี้ยงดูบุตรและภรรยา เห็นว่าชีวิตนี้ไม่มีความแน่นอน  รู้สึกเบื่อและคิดจะบวชเพื่อเลี้ยงดูบิดามารดา  ท่านได้ไปปรึกษาภรรยาและจอบวชเป็นเณรสัก ๗ วัน  ภรรยาก็เห็นดีเห็นงาม  ตกลงให้ท่านบวชทดแทนคุณบิดามารดาที่เคยเลี้ยงดูมา  ในขณะที่ท่านบวชเณรอยู่  ท่านฝันไปว่าเห็นมารดามาบอกว่าอย่าได้สึกเลย  เพราะว่ามารดาที่ตายไปนั้นถูกจ่ายมบาลคุมขังเอาไว้ได้รับทุกขเวทนามาเป็นเวลานาน  เพิ่งจะได้รับการพ้นทุกข์เพราะอานิสงค์ของการบวชเณรของลูกในคราวนี้เอง  ท่านตกใจตื่นจึงนอนคิดทบทวนความฝันนั้นแล้วคิดสังเวชสงสารมารดา  คิดในใจว่าจะบวชต่อไปไม่สึก  รุ่งเช้าจึงนำความฝันไปเล่าให้ภรรยาฟัง  และจะขอบวชต่อไปอีก  แต่ภรรยากลับหาว่าท่านคิดเอาตัวรอดผู้เดียว  ไม่ยอมรับผิดชอบต่อครอบครัว  ซึ่งลูกๆก็ยังเล็กอยู่  ท่านพยายามหาทางออกโดยพูดกับภรรยาว่าจะหาสามีใหม่ให้  ทั้งสองตกลงกันไม่ได้  ผลสุดท้ายท่านหมดหนทาง  เพราะทนการอ้อนวอนขอร้องจากภรรยาที่คอยติดตามไม่ไหว ท่านจึงตัดสินใจสึกจากเณรมาทำมาหากิน  ส่งเสียเลี้ยงดูภรรยาอีกวาระหนึ่ง  แต่กระนั้นความตั้งมั่นในการบำเพ็ญธรรมของท่านหาได้มีลดละความพยายามไม่
หลังจากท่านไปทำงานเป็นกิจวัตรประจำวันแล้ว  ท่านจะมานอนที่วัดปฏิบัติธรรมสมาธิเป็นประจำ  บ้านเรือนที่เคยอาศัยก็ปล่อยให้ภรรยาและลูกๆอยู่กัน  เงินทองที่หามาได้ก็ส่งเสียเลี้ยงดูไม่ให้ขาดแคลนเดือดร้อนอะไร  จนกระทั่งลูกๆได้เติบโตพอที่จะช่วยแม่ทำงานได้  เหตุนี้เองทำให้ภรรยาเบื่อหน่ายและหมดอาลัยตายอยากในตัวท่าน  จึงได้เอ่ยปากบอกกับท่านว่า  เมื่ออยากจะบวชก็ไป  ไม่ต้องมาห่วงทางครอบครัว  ลูกๆก็โตแล้ว  พอจะช่วยทำการงานได้  ท่านจึงตัดสินใจไปบวชด้วยความหมดห่วง
ชีวิตเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรธรรม
   หลังจากได้ตกลงใจจะบวชในครั้งที่สองนี้  ท่านได้ไปเป็นโยมอยู่ที่วัดพระอาจารย์สีทัต  ที่เมืองท่าอุเทนกับเพื่อนอีก ๒ คน  แต่แล้วก็ผิดหวังเพราะพระอาจารย์สีทัตกลับปฏิเสธไม่ยอมรับเป็นศิษย์  แต่กลับแนะนำให้เดินทางไปหาอาจารย์เหม่ย  ท่านและเพื่อนร่วมเดินทางจึงได้กราบลาพระอาจารย์สีทัตเดินทางไปหาพระอาจารย์เหม่ยตามคำแนะนำ

พบพระอาจารย์เหม่ย ผู้ทรงวิชาอันแก่กล้า   
   เมื่อถึงที่อยู่ท่านพระอาจารย์เหม่ยท่านและเพื่อนทั้งสองก็เข้าไปกราบนมัสการกราบเรียนขอเป็นศิษย์  โดยเล่าความเป็นมาให้พระอาจารย์เหม่ยทราบโดยตลอด  เมื่อพระอาจารย์เหม่ยฟังความก็กล่าวว่า ?ได้ถ้าจะมาเป็นศิษย์  แต่ว่าพวกเจ้าที่มาหาอาจารย์ทั้งสามคนนี้จะต้องตายหนึ่งคน มีใครกลัวตายไหม?  พระอาจารย์เหม่ยกล่าว แล้วถามไปทีละคนปรากฏว่าเพื่อนทั้งสองที่มาด้วยกัน  บอกว่ากลัวตายกัน  แต่หลวงปู่คำคนิงนิ่งเงียบไม่ตอบ  ท่านอาจารย์จึงเอ่ยปากถามว่า  ?แล้วเจ้าเล่าไม่กลัวตายหรือ?  ท่านตอบว่า  ?ไม่กลัวตาย?  ผลสุดท้ายเพื่อนที่มาด้วยกันสองคนถูกพระอาจารย์เหม่ยไล่กลับไม่รับเป็นศิษย์  ต่อมาได้มีโยมมาร่วมด้วยหนึ่งคน โยมคนนี้ไม่กลัวตายเหมือนหลวงปู่คำคนิง  ก็ได้อยู่เป็นเพื่อนร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกัน  พระอาจารย์เหม่ยให้ศิษย์ทั้งสองฝึกธรรมสมาธิกันอย่างหนัก  แม้เวลาจะนอนก็ไม่ให้หลับ  โดยใช้ลูกมะพร้าวเป็นหมอนหนุนหัวแทน ทั้งสองก็ปฏิบัติตามครูบาอาจารย์สั่งทุกอย่าง  การเพียรธรรมของศิษย์พระอาจารย์เหม่ยนี้ต้องลำบาก  เดียวกันต้องเอาชีวิตมาทิ้งในขณะนั่งทำสมาธิ  หลวงปู่ท่านเพียรธรรมกับพระอาจารย์เหม่ยจนแก่กล้าและชำนาญในการเข้ากรรมฐานจนครบทุกอย่าง  ท่านพระอาจารย์เหม่ยก็อนุญาตให้หลวงปู่เข้าป่าเดินธุดงค์ตามลำพังแต่เพียงผู้เดียวนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  และหลวงปู่ก็อุตสาห์เที่ยวธุดงค์ค้นหาครูบาอาจารย์เพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม  เพื่อจะได้พบโมกขธรรมแห่งการหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
พระมหากษัตริย์ลาวทรงถวายการอุปสมบทให้
หลวงปู่คำคนิงเดินธุดงค์อยู่หลายปีก็ได้มุ่งธุดงค์ลงมาทางใต้  เขตนครจำปาศักดิ์หลวงปู่ท่านได้มาจำพรรษาที่ภูเขาด่าง  ความเลื่อมใสศรัทธาเริ่มแผ่ขยายวงกว้างออกไปอย่างรวดเร็วมาก  จากหมู่บ้านเข้าสู่ตำบล  จากตำบลเข้าสู่อำเภอ  จากอำเภอเข้าสู่จังหวัด  จากจังหวัดแผ่ขยายจนทั่วประเทศ  ประชาชนประเทศลาวรู้ถึงความสักดิ์สิทธิ์ต่างมุ่งเดินทางมาจากทั่วสารทิศ  มุ่งสู่นครจำปาศักดิ์  ต่อมาความนี้ได้ทราบถึงเจ้าศรีสว่างวัฒนา  ซึ่งเป็นเหนือชีวิตแห่งประเทศลาว รวมทั้งพระญาติฝ่ายเหนือฝ่ายใต้จึงได้เสด็จมาที่เมืองปากเซ  แขวงจำปาศักดิ์  เมื่อเจ้าเหนือหัวศรีสว่างวัฒนาได้พบหลวงปู่จึงกล่าวคำว่า ?ท่านเก่งมีอิทธิฤทธิ์มากหรือไร? หลวงปู่ท่านว่า ?ไม่?   เจ้าเหนือหัวแห่งลาวก็ถามอีกว่า  ? ถ้าไม่เก่งแล้วทำไมคนลือเลื่อมใสไปทั่วประเทศ?  หลวงปู่ก็ตอบว่า  ?ใครเป็นคนพูด?  เจ้าเหนือหัวตอบว่า  ?ก็ประชาชนทั้งประเทศ?  หลวงปู่ก็ตอบว่า  นั้นคนอื่นพูด  ท่านไม่เคยพูด  สุดท้ายเจ้ามหาชีวิตแห่งประเทศลาวเกิดความเลื่อมใส  ขอขมาที่ล่วงเกินหลวงปู่  และเอ่ยขอปลงผมซึ่งยาวจนถึงเอวออกจะได้ไหม  หลวงปู่ตอบว่า  ได้ แต่ต้องบวชเป็นพระ  ในที่สุดกำหนดอุปสมบทซึ่งทางสำนักพระราชวังได้จัดขึ้น  โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์  พร้อมด้วยข้าราชการและประชาชน  แห่กันไปที่วัดหอเมืองเก่า  แขวงจำปาศักดิ์  ในระหว่างปลงผมหลวงปู่นั้นทั้งฝ่ายสำนักราชวัง ข้าราชการและประชาชนต่างก็เอาผ้าไหมแพรทองมาปูรองรับเส้นผมของหลวงปู่กันแน่นไปหมดทั่วบริเวณ  ต่างคนต่างแย่งผมที่หลวงปู่ปลงจนเกิดความวุ่นวาย  เมื่อเวลาอุปสมบทก็มีพระสงฆ์ราชาคณะ  พร้อมทั้งพระสังฆราช  เสด็จมาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์  รวมทั้งหมด  ๒๔  รูป  หลวงปู่ได้อยู่ที่ภูเขาอีด่างอีกระยะหนึ่ง  เห็นความวุ่นวายจึงเกิดความเบื่อหน่าย  จึงแอบหนีออกมาโดยไม่มีใครรู้ว่าท่านไปอยู่ที่ไหน


การอาพาธ
หลวงปู่เริ่มอาพาธตั้งแต่ปี ๒๕๒๕  แต่อาการไม่หนัก  เป็นๆหายๆ  เพราะความชราภาพอันเป็นกฎแห่งวัฏฏสงสาร  จนกระทั่งเมื่อวันที่  ๒๘  มีนาคม  ๒๕๒๘  เวลาเช้า  หลวงปู่ได้เข้าห้องน้ำ ท่านอาจารย์ทองสาเห็นนานผิดสังเกตจึงเคาะประตูถามหลวงปู่  หลวงปู่ตอบว่าถ่ายไม่ออก ท้องผูก  ขอให้อาจารย์ทองสาหายาสวนทวารและยาระบายให้  สักพักใหญ่หลวงปู่ก็ถ่าย  แต่คราวนี้ถ่ายไม่ยอมหยุด  หลวงปู่ท่านเพลียเต็มที่  และอาหารเช้าก็ยังไม่ได้ฉัน  อาจารย์ทองสาบอกกับหลวงปู่ว่าจะไปโทรศัพท์เรียกหมอนะ  หลวงปู่ท่านบอกว่าไม่ต้องเรียก และกำชับว่าห้ามเรียกหมอมาเด็ดขาด  จะเจ็บป่วยแค่ไหนก็อยู่อย่างนั้น  ให้มันหายเอง  ทีนี้หลวงปู่ก็พูดกับอาจารย์ทองว่าให้ช่วยหานาคบวชพระให้อาจารย์สัก ๓ องค์  อาจารย์ทองเลยถามว่าจะบวชให้ใคร  หลวงปู่ท่านบอกว่าบวชให้อาจารย์นี่แหละ  ไวๆ เท่าไรยิ่งดี  หลังจากนั้นท่านก็เพลียจนหลับไปพักหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาท่านสั่งอะไรหลายอย่าง  คุยได้ไม่นานนักท่านก็ลิ้นแข็งพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง  ไม่นานท่านก็หลับไปอีก  แล้วอาจารย์ทองก็ออกมาโทรศัพท์บอกญาติโยมที่รู้จักสนิท  เวลาต่อมานายอำเภอนิพนธ์  บูรณะปราสาท  มาถึงเห็นอาการของหลวงปู่ก็แนะนำเอาหลวงปู่ส่งโรงพยาบาล  แต่ท่านก็ไม่ยอมแต่ก็ได้สั่งหน่วยพยาบาลเคลื่อนที่มาตั้งชั่วคราวที่วัด  และมีแพทย์พยาบาลมาคอยดูแล  เช้าวันหนึ่งท่านดื่มแบรนด์แล้วมีอาการสำลักอย่างรุนแรง  หมอก็แนะนำให้นำส่งโรงพยาบาลเพื่อเอ็กซเรย์ดูระบบปอดของท่าน  จึงตกลงกันวางยาสลบ  แต่งขันธ์ขอขมาครูบาอาจารย์ เพื่อนำหลวงปู่ส่งโรงพยาบาลโขงเจียม  ผลเอ็กซ์เรย์ปรากฏว่าปอดของหลวงปู่ทั้งสองข้างเสียหมด  หมอได้แนะนำให้นำหลวงปู่ส่งโรงพยาบาลประจำจังหวัดภายใน  ๒๔  ชั่วโมง  พอถึงโรงพยาบาลก็ได้นำหลวงปู่เข้าห้อง  ไอ.ซี. ยู  โดยได้รับการฝากให้ดูแลเป็นพิเศษจากผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลฯ หลังจากที่หลวงปู่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์  ในช่วง ๔-๕ วัน  อาการของหลวงปู่ดีขึ้นเล็กน้อย  หมอให้น้ำเกลือและออกซิเจนตลอดเวลา
ในวันที่  ๑๗  เมษายน  ๒๕๒๘  เวลา  ตี ๒ ก็ได้ทำพิธีบวชพระ ๙ รูป  ไปเสร็จสิ้นตอน  ๖ โมงเช้า  หลังจากฉันเช้าเสร็จก็จ้างรถให้รับพระบวชใหม่ไปรอหน้าโรงพยาบาลเพื่อกราบหลวงปู่  ถึงโรงพยาบาลเวลาใกล้เพลจึงได้พาพระบวชใหม่ฉันอาหารที่หน้าโรงพยาบาล  เสร็จก็พาพระบวชใหม่มานั่งรอที่หน้าห้อง ไอ.ซี.ยู.  ประมาณ  ๑๑.๑๐ น. และหลวงปู่ได้สิ้นใจละสังขาร เวลา ๑๑.๑๓  น.  ของวันที่  ๑๗  เมษายน  ๒๕๒๘  สิริอายุได้  ๙๑  ปีเศษ  ๔๖  พรรษา


* img0641.jpg (50.39 KB, 300x424 - ดู 2161 ครั้ง.)

* img0653.jpg (54.19 KB, 300x420 - ดู 2220 ครั้ง.)

* img0652.jpg (46.46 KB, 300x400 - ดู 2819 ครั้ง.)

thxby11062เล็ก หัวตะเข้
บันทึกการเข้า

"ขุนผู้หาญคองเมืองจั่งเฮืองฮุ่ง  ขุนขี้ย่านคองบ้านบ่ฮุ่งเฮือง"
chanatip
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: 30 สิงหาคม 2555, 08:40:55 »

ประวัติ ลป เยี่ยมมากครับพี่โก้  ขอบคุณมากครับ   wan-e042

thxby11063คนโก้
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.19 | SMF © 2006-2009, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!