+ ส่องสนามเมืองนักปราชญ์ ฉบับที่ 4 ประจำเดือนแห่งความรัก 2555 + ?>
ชมรมอนุรักษ์พุทธศิลป์แห่งภาคอีสาน
The Buddhist Art Conservation Club Of Esan (North Eastern Part Of Thailand)
24 พฤศจิกายน 2567, 07:19:18 *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  

กติกาในการ เช่า-แลกเปลี่ยนพระเครื่อง | พระเครื่องเมืองอุบลราชธานี | แจ้งปัญหาการใช้งาน
แจ้งเรื่องการยืนยันตัวตนสำหรับผู้ที่จะให้เช่าพระเครื่องฯ | วิธีสมัครสมาชิกเว็บ

หน้า: [1]   ลงล่าง
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: + ส่องสนามเมืองนักปราชญ์ ฉบับที่ 4 ประจำเดือนแห่งความรัก 2555 +  (อ่าน 7600 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
chanatip
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: 29 กุมภาพันธ์ 2555, 22:29:33 »

ความเหมือนระหว่าง หุ้น VS พระเครื่อง ตอนที่ 1


เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนที่ศึกษาและค้นคว้าในศาสตร์ทั้งสอง อยู่เป็นประจำ

ในฉบับนี้จึงขอนำเสนอ เพื่อเป็นความรู้ ถึงความเหมือน ระหว่างหุ้น กับ พระเครื่อง ในแง่การลงทุน

และขอเกริ่นเรื่องหุ้นในฉบับแรกนี้ก่อน เพื่อเชื่อมโยงสู่สนามพระเครื่องแห่งเมืองนักปราชญ์เรา  ในฉบับหน้าครับ


มารู้จักคำว่า ลงทุนกับหุ้น กันก่อนนะครับ โดยที่ผู้เขียน พยายามอธิบายให้กระชับที่สุดมากๆแล้วครับ


การลงทุนกับหุ้นก็คือ การที่เราอยากค้าขาย หรืออยากมีบริษัท แต่ไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น  ไม่มีเวลาดูแลมากขนาดนั้น ไม่มีความสามารถมากขนาดนั้น

เราจึงนำเงินที่มี ไปร่วมลงทุนกับคนที่เขาทำไว้แล้ว มากน้อย ตามกำลังทรัพย์ที่มี เช่น  อยากทำสัญญาณคลื่นโทรศัพท์

ก็ไปขอร่วมแจม กับ AIS ,ทรู ,Dtac  หรืออยากเปิดร้านขายของอย่าง เซเว่น, โฮมโปร ,Bigc , มาม่า

ก็ไม่ต้องมาเปิดร้าน หรือมาตั้งบริษัทเองให้เสียเวลา เพราะต้องมานั่งดูแลเฝ้าร้าน มาปวดหัวกับบัญชี มาปวดหัวกับพนักงาน

หรืออยากขายอาหาร ก็มองหาบริษัทผลิตอาหารที่เราชอบ   เพียงแค่ นำเงินที่มี ไปขอซื้อหุ้นของบริษัทนั้นๆ มาเป็นของเรา  

เพียงเท่านี้  เราก็เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นๆ แล้ว ซึ่งเราสามารถ ลงทุน กับ กลุ่มพลังงาน

กลุ่มขนส่ง กลุ่มอาหาร กลุ่มไอที กลุ่มการท่องเที่ยว และกลุ่มอื่นๆอีกมากมาย กว่า 500 บริษัทครับ


....ในจุดนี้จึงเกิดนักลงทุนขึ้นครับ ซึ่งได้นำเงินที่ตนเองมีเข้าไปลงทุนหรือซื้อหุ้นของบริษัทต่างๆ ที่ตัวเองสนใจ

โดยที่ไม่ต้องมาเปิดร้านเอง เพียงเอาเงินไปซื้อหุ้น แล้วให้บริษัทต่างๆ ดำเนินกิจการ ส่วนรายรับหรือรายได้จากการลงทุนของเราก็มาจากสองทางคือ  

1 จากการขึ้นของราคาหุ้น  เช่น เราซื้อหุ้นร้านหนังสือ  se-ed ที่หุ้นละ 1 บาท จำนวน 10,000 หุ้น แสดงว่าเราลงทุนไป 10,000 บาท
  
   เวลาผ่านไป ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น หุ้นละ 2 บาท  แสดงว่าเราจะได้กำไรทันที 100% นั้นคือ เราจะมีเงิน 20,000 บาท

 2.จากปันผลของบริษัททุกๆปี  โดยเฉลี่ยแล้ว บริษัทต่างๆ จะปันผล ประมาณ 2-10 % ครับ


.... ในตลาดหุ้น ได้แบ่งนักลงทุนเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ นักลงทุนแบบเทคนิค และนักลงทุนแบบเน้นคุณค่า


นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า คือ นักลงทุน ที่ศึกษาข้อมูลของบริษัทนั้นๆ เป็นอย่างดี  ดูงบการเงิน กำไร ขาดทุน รักและชอบในกิจการนั้นๆ

พร้อมลงทุนกับบริษัทนั้นเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี ขึ้นไป ซึ่งเหมือนกับเป็นเจ้าของบริษัทเอง  ดังนั้นการเข้าซื้อหุ้นแต่ละครั้ง  

จึงเกิดขึ้นจากการศึกษาอย่างแท้จริง  พร้อมนำเงินที่มี  ร่วมลงทุนอย่างแท้จริง


นักลงทุนแบบเทคนิค คือ นักลงทุนที่เล่นตามกระแส อ่านกราฟ คาดคะแน ตามข่าวใหม่ๆ เรียกได้ว่าเป็นจอมเทคนิคอันว่องไว

ที่เห็นชัดๆ คือ จังหวะในการซื้อเข้าและขายออกหุ้น อย่างรวดเร็ว  ใช้เวลาไม่นาน วันต่อวัน หรือไม่ก็ไม่เกินเดือน สองเดือน สรุปสั้นๆ คือ เก็งกำไร นั้นแหละ

นักลงทุนประเภทนี้มีความเสี่ยงสูงมาก   ไม่แตกต่างจากการซื้อหวย.. เพราะกำไร ขาดทุน ของบริษัทเขาดูเป็นปีต่อปี  ไม่ใช่เดือนต่อเดือน หรือ วันต่อวัน





โปรดติดตาม ตอน 2 ปลายเดือนหน้าครับ  เราจะมาดูและวิเคราะห์แบบตีแผ่ศาสตร์ทั้งสองในแง่การลงทุนครับ  


* images.jpg (13.64 KB, 276x182 - ดู 1231 ครั้ง.)

thxby8009คนโก้, เสี่ยวขุขันธิ์, กระแสสิน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 มีนาคม 2555, 06:50:45 โดย อ.แดน » บันทึกการเข้า
หน้า: [1]   ขึ้นบน
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.19 | SMF © 2006-2009, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!