หัวข้อ: พระพุทธศาสนาในภาคอีสานและล้านช้าง เริ่มหัวข้อโดย: เต้ อุบล ที่ 12 มกราคม 2555, 21:52:46 พระพุทธศาสนาในภาคอีสานและล้านช้าง
เอกสารประกอบคำบรรยายเรื่อง ?พระพุทธศาสนาลุ่มแม่น้ำโขง? ในการประชุมสัมมนาทางวิชาการอาจารย์สอนศาสนาและปรัชญา คณะศาสนาแลปรัชญา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ณ โรงแรมซันพาเลซ อำเภอเมือง จังหวัดเลย ระหว่างวันที่ ๙ ? ๑๒ กรกฎราคม ๒๕๕๑ ศาสตราจารย์ ธวัช ปุณโณทก ประธานโครงการสารานุกรมวัฒนธรรมไทยภาคอีสาน (การเขียนบทความนี้ใช้ข้อมูลที่พบในภาคอีสาน ซึ่งเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้างเป็นระยะเวลายาวนาน ได้พบศิลาจารึกและหลักฐานที่กษัตริย์ล้านช้างได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาจำนวนมาก) ภาคอีสานเป็นแหล่งสะสมวัฒนธรรมมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ส่วนในสมัยประวัติศาสตร์น่า จะแบ่งเป็นยุคสมัยได้ดังนี้ ๑) สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๕ (ร่วมสมัยทวาราวดี) พบว่ามีหลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมากที่เป็นหลักฐานของพุทธศาสนา เช่น เสมาหินขนาดใหญ่ เมืองฟ้าแดดสงยาง อำเภอกมลาสัย จังหวัดกาฬสินธุ์ และกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปทั้งแอ่งสกลนครและแอ่งโคราช นอกจากนี้ยังมีศิลาจารึกอักษรปัลลวะ (หรืออักษรคฤนถ์) ใช้ภาษาสันสกฤต กล่าวถึงเรื่องราวทางพุทธศาสนาอีกด้วย ๒) สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๘ (สมัยขอมพระนคร) พบปราสาทหินขนาดใหญ่ เช่น ปราสาทหินเขาพนมรุ้ง (จังหวัดบุรีรัมย์) ปราสาทหินพิมาย (จังหวัดนครราชสีมา) และปราสาทหินขนาดกลางและขนาดย่อมกระจัดกระจายทั่วไปในภาคอีสาน นอกจากนี้ยังพบศิลาจารึกอักษรขอมโบราณบันทึกด้วยภาษาสันสกฤตปะปนภาษาเขมร จนถึงบันทึกด้วยภาษาเขมรล้วน ๆ เรื่องราวที่บันทึกในศิลาจารึกนั้นกล่าวถึงเทพเจ้าฮินดูและพิธีกรรมอันเนื่องด้วยเทวสถานและเทพเจ้าประจำเทวสถานนั้น ๆ แสดงให้เห็นว่าในยุคสมัยดังกล่าวศาสนาพราหมณ์ลัทธิเทวราชาได้แพร่กระจายไปทั่วภาคอีสานอยู่ประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ ปี ๓) สมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ เป็นสมัยที่ไม่พบหลักฐานทางด้านโบราณคดี นั่นคือไม่มีโบราณวัตถุ โบราณสถาน และศิลาจารึกที่ได้สร้างขึ้นในสมัยดังกล่าว ๔) สมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๓ (สมัยอิทธิพลอาณาจักรล้านช้าง) เป็นสมัยที่อาณาจักรล้านช้างครอบ ครองดินแดนภาคอีสานทั้งหมด โดยเฉพาะในแอ่งสกลนครและลุ่มแม่น้ำโขง พบศิลาจารึกจำนวนมากที่กษัตริย์ล้านช้างสร้างไว้ในภาคอีสาน ตัวอักษรตัวธรรมและอักษรไทยน้อย ซึ่งเป็นอักษรที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในอาณาจักรล้านช้าง เนื้อความที่บันทึกเป็นเรื่องราวพุทธศาสนา ส่วนใหญ่กล่าวถึงการอุทิศที่ดิน ข้าทาส และนาจังหัน ถวายแก่วัดนั้น ๆ ๕) สมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๔-๒๕ (สมัยอิทธิพลราชธานีไทย) คือนับตั้งแต่สมัยที่พระเจ้ากรุงธนบุรีได้ยกกองทัพเข้ายึดอาณาจักรล้านช้างทั้ง ๓ รัฐ คือ หลวงพระบาง เวียงจันทน์ และนครจำปาศักดิ์ (สมัยดังกล่าวอาณาจักรล้านช้างแยกกันปกครองเป็น ๓ รัฐ) เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๒ และได้หัวเมืองอีสานทั้งหมด ๖) สมัยรัชกาลที่ ๕?สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ คือนับตั้งแต่สมัยปฏิรูปการปกครองหัวเมือง (พ.ศ. ๒๔๓๖ ? พ.ศ. ๒๔๕๐) ที่รัฐบาลกลางได้จัดการปกครองภาคอีสานเป็นจังหวัด อำเภอ ลดอำนาจ เจ้าเมืองท้องถิ่น โดยส่งข้าหลวงกำกับราชการประจำเมืองต่าง ๆ ไปควบคุมนโยบายแทนเจ้าเมืองเดิม จนถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย พ.ศ. ๒๔๗๕ พุทธศาสนาซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาวไทยในภาคอีสาน ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมและกระแสการเมืองการปกครอง ในการอธิบายพุทธศาสนาในภาคอีสานนี้จะเริ่มจากสมัยอิทธิพลอาณาจักรล้านช้างเป็นต้นมา จนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ในช่วยระยะเวลาดังกล่าวมีเอกสารประวัติศาสตร์และศิลาจารึก สามารถอธิบาย การเปลี่ยนแปลงและพัฒนารูปแบบของพุทธศาสนาในภาคอีสานได้ ๓ สมัย คือ (๑) สมัยอิทธิพลอาณาจักรล้านช้าง คือสมัยที่ภาคอีสานเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้าง (๒) สมัยอิทธิพลราชธานีไทย คือสมัยที่ภาคอีสานอยู่ใต้การปกครองของรัฐบาลไทย นับตั้งแต่สมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นต้นมา (๓) สมัยปัจจุบัน (สมัยรัชกาลที่ ๕ ? สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕) คือสมัยที่พัฒนาสังคมภาคอีสานไปสู่สังคมสมัยใหม่ นั่นคือการรวมเป็นรัฐประชาชาติไทย (สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์หัวเมืองในภาคอีสานมีฐานะเป็นเมืองขึ้น ส่งส่วยต่อราชธานี) จัดตั้งโรงเรียนให้เรียนหนังสือไทย ยกเลิกธรรมเนียมพิธี กรรมทางพุทธศาสนาของท้องถิ่น จนถึงประกาศใช้พระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ (พระสังฆาณัติ) พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งจัดระบอบการปกครองคณะสงฆ์ทุกภาคเหมือนกัน หัวข้อ: ๑. พุทธศาสนาภาคอีสานสมัยอิทธิพลอาณาจักรล้านช้าง (พุทธศตวรรษที่ ๒๐ ? ๒๓) เริ่มหัวข้อโดย: เต้ อุบล ที่ 12 มกราคม 2555, 21:55:15 ๑. พุทธศาสนาภาคอีสานสมัยอิทธิพลอาณาจักรล้านช้าง (พุทธศตวรรษที่ ๒๐ ? ๒๓)
ในหลักฐานด้านประวัติศาสตร์ และศิลาจารึกนั้นพบว่า ภาคอีสานเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้าง รัฐบาลไทยสมัยอยุธยาไม่มีอำนาจครอบครองภาคอีสาน จนถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กรุงศรีอยุธยาได้เริ่มมีอำนาจเหนือที่ราบสูงโคราช บริเวณเมืองนครราชสีมา และเมืองใกล้เคียง (หาได้มีอำนาจปกครองไปถึงชายฝั่งแม่น้ำโขงไม่) ฉะนั้นนับตั้งแต่สมัยพระเจ้าฟ้างุ้มมีอำนาจเหนืออาณาจักรล้านช้าง และปกครองเมืองหลวงพระบาง(หรือเมืองเชียงดง เชียงทอง หรือเมืองชวา) ก็แผ่อำนาจปกครองหัวเมืองต่าง ๆ ตามลุ่มแม่น้ำโขงจนถึงเมืองโคตรบอง หรือ โคตรบูรณ์ (คือบริเวณจังหวัดนครพนมปัจจุบัน) ในสมัยหลังต่อมาอำนาจอาณาจักรล้านช้างก็ยังครอบครองดินแดนภาคอีสาน โดยเฉพาะบริเวณแอ่งสกลนครนั้น กษัตริย์ล้านช้างได้สร้างศิลาจารึกไว้จำนวน หนึ่ง ที่กล่าวถึงการทำนุบำรุงพุทธศาสนาในภาคอีสาน จากการศึกษาเนื้อหาสาระของศิลาจารึกอีสานสมัยไทย-ลาว โดยเฉพาะในช่วยสมัยอิทธิพลอาณาจักรล้านช้างนั้น พบว่าพระพุทธศาสนาในภาคอีสานบริเวณแอ่งสกลนครนั้นเจริญรุ่งเรืองมาก พระมหากษัตริย์ทรงใส่ใจในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง สืบเนื่องมาเกือบทุกรัชสมัย แม้ว่าบางรัชสมัยไม่พบศิลาจารึกในบริเวณแอ่งสกลนครนั้น ก็ไม่อาจสรุปได้ว่า ไม่มีการสร้างศาสนสถาน หรือพระมหากษัตริย์ไม่ใส่ใจในพุทธศาสนา เพราะเหตุว่าในบริเวณแอ่งสกลนครนี้เป็นเมืองปลายแดนห่างไกลจากศูนย์กลางทางการเมืองการปกครอง แต่ก็พอจะเชื่อได้ว่ามีการสร้างศาสนสถานน้อยลง เพราะน่าจะมีเหตุการณ์บ้านเมืองไม่เอื้อในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เช่น ถูกรุกรานจากพม่า หรือเกิดความวุ่นวายในการสืบราชสมบัติ การที่พบว่าศิลาจารึกอีสานสมัยไทย-ลาวนั้น ได้ให้ความสำคัญแก่พุทธศาสนาอย่างโดดเด่นมาก เมื่อเทียบกับกรุงศรีอยุธยาในสมัยเดียวกัน ฉะนั้นจึงเกิดคำถามว่าเพราะเหตุใดพระมหากษัตริย์แห่งล้านช้างจึงต้องสนพระทัยในพุทธศาสนามากเช่นนั้น นั่นคือการอุทิศที่ดินสร้างวัด อุทิศนาจังหัน และผู้คนในเขตนาจังหัน ให้เสียส่วยอากรบำรุงวัดแทนการเสียส่วยอากรต่อรัฐ รวมทั้งการอุทิศคนจำนวนมากเป็นข้าพระโยมสงฆ์ (ข้าโอกาส) ลักษณะดังกล่าวอาจจะอธิบายได้ว่า ในอาณาจักรล้านช้างสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ นั้น พระมหา กษัตริย์ได้ใช้กุศโลบายในการปกครองประชาชน หรือไพร่บ้านไทยเมืองโดยวิธีใช้สถาบันศาสนาเป็นแกนนำในการควบคุมความประพฤติของประชาชน นั่นคือพระมหากษัตริย์ทรงทำนุบำรุงพระศาสนา ให้พระเถระพระ ภิกษุสามเณรได้ปฏิบัติธรรมโดยสะดวกตามฐานานุรูป ซึ่งพระเถระเหล่านั้นเป็นที่เคารพบูชาของประชาคม ก็ได้ทำหน้าที่ในการสั่งสอนพระธรรมตามหลักปรัชญาของพุทธศาสนา หลักธรรมเหล่านั้นได้ทำหน้าที่เป็นสัญญาประชาคม ควบคุมความประพฤติชาวบ้านโดยปริยาย และหลักธรรมเหล่านี้มีคุณค่าต่อความเชื่อของชาวพุทธมากยิ่งกว่ากฎหมายของรัฐ เนื่องจากชาวพุทธย่อมเชื่อว่าเป็นการแสวงหาเนื้อนาบุญอันเป็นกุศลผลบุญติดตัวไปทั้งชาตินี้และชาติหน้า ฉะนั้นชาวพุทธจึงยินดีเชื่อฟังด้วยความศรัทธาต่อหลักธรรม และพร้อมที่จะอุทิศตนเป็นผู้อุปัฏฐากรับใช้พระเถระและพระศาสนา ฉะนั้นการใช้หลักธรรมในการควบคุมจริยธรรมในสังคมจึงมีประสิทธิภาพมาก ไม่มีผู้ใดละเมิด เมื่อบ้านเมืองสงบสุขไม่มีโจรผู้ร้าย ชาวบ้านย่อมทำกินสะดวกสบายได้ทรัพย์เพื่อเสียส่วยอากรแก่รัฐ ในขณะเดียวกันรัฐมีกำลังที่จะป้องกันข้าศึกศัตรูภายนอก ฉะนั้นในการอุปถัมภ์พระศาสนาของพระมหากษัตริย์อาณาจักรล้านช้างในยุคนั้น ย่อมมีผลดีต่อประชาคมศาสนาและรัฐในที่สุด ซึ่งอาจจะเขียนเป็นแผนผังได้ดังนี้ จากการศึกษากฎหมายในอาณาจักรล้านช้าง ในช่วงสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๒ พบว่ากฎหมายนั้นยังเป็นแนวหลักธรรมวินัยของศาสนาพุทธอยู่มาก และไม่ได้ตราเป็นกฎหมายสมบูรณ์แบบเหมือนอาณาจักรอยุธยาในยุคเดียวกัน๑ ซึ่งจะดูรายละเอียดได้ในกฎหมาย ?โคสารราช? (โฆษาราช) หรือ ?กฎหมายโคสาราษฎร์? หรือ ?พระธรรมศาสตร์ว่าด้วยลักษณะพิจารณาความเทียบพุทธจักร-อาณาจักร?๒ กฎหมายดังกล่าวเชื่อกันว่า ได้ตราขึ้นในอาณาจักรล้านช้างก่อนที่จะนำไปใช้ในล้านนาเชียงใหม่สมัยพระไชยเชษฐาธิราช (โอรสพระโพธิสาลราชแห่งล้านช้าง) ไปครองเมืองเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๐๙๑๓ การตรากฎหมายโคสาราชนั้นยึดแนวหลักธรรมวินัยของพระภิกษุสงฆ์ นั่นคือปรับเอาศีล (คือข้อห้ามประพฤติ) ของพระภิกษุมาใช้ควบคุมสังคม เช่น แบ่งเป็น ?ห้องปาณาติบาต? (คือการฆ่า ทำร้ายร่างกาย) ?ห้องมิจฉาจาร? (คือการกระทำผิดต่อทรัพย์สินผู้อื่น ผิดลูกผิดเมียผู้อื่น) เป็นต้น และการลงโทษก็ใช้เช่นเดียวกับวินัยพระภิกษุ เช่น ปาราชิก (ประหารชีวิต) สังฆาทิเสส ปาจิตตี (ปรับไหม) ทุกกฎ ฯลฯ เป็นต้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่า สถาบันศาสนามีส่วนช่วยในการควบคุมสังคม และพระเถระได้มีส่วนช่วยเหลือตราบทบัญญัติอันเป็นสัญญาประชาคม ให้สถาบันกษัตริย์ประกาศใช้ทั่วพระราชอาณาจักรอีกด้วย ฉะนั้นการที่พระมหากษัตริย์แห่งล้านช้างได้ทรงใส่ใจทำนุบำรุงพระพุทธศาสนานั้น น่าจะเป็นผลดีต่อฝ่ายอาณาจักร จึงพบว่ากฎหมายโคสาราชได้นำเอาแนวประพฤติปฏิบัติของพระภิกษุมาปรับใช้กับการควบคุมความประพฤติของบุคคลในสังคม ซึ่งเป็นบทบัญญัติของสังคมอย่างหลวม ๆ ไม่เป็นระบบสมบูรณ์แบบเหมือนกฎหมายอยุธยา (กฎหมายตราสามดวง ได้รวบรวมจากกฎหมายอยุธยา) และในขณะเดียวกันผลของการควบคุมสังคมโดยใช้กฎหมายพุทธจักร น่าจะได้ผลดีทางจิตใจมากกว่าอาณาจักร โดยเฉพาะไม่ต้องมีผู้รักษากฎหมาย (ตำรวจ) คอยปราบปรามผู้กระทำผิด อีกประการหนึ่งประชาชนทั่วไปจะมีจิตสำนึกว่าตนนั้นได้ประพฤติตามหลักธรรม อันเป็นผลให้ได้เนื้อนาบุญติดตัวตามสนองทั้งชาตินี้และชาติหน้า ฉะนั้นชาวพุทธจึงเชื่อว่าความแร้นแค้นทุกข์เข็ญในชาติปัจจุบันนี้ ก็เพราะวิบากกรรมเมื่อชาติปางก่อน ชาตินี้จำเป็นต้องประพฤติตามหลัก ธรรมเพื่อจะได้ประสบสุขในชาติหน้า นั่นคือจะได้เกิดอยู่ในชาติตระกูลชนชั้นสูงหรือร่ำรวย ตามแนวคิดของพุทธศาสนาแนวประชาชน (Popular Buddhism) ซึ่งยึดแนวชาตินี้และชาติหน้า และเน้นเรื่องกฎแห่งกรรมมาก กว่าที่เน้นเรื่องนิพพานตามแนวพุทธศาสนาแบบปรัชญา (Doctrinal Buddhism) ฉะนั้นประชาชนทั่วไปก็จะหมั่นประพฤติตามหลักธรรมอันเป็นประหนึ่งสัญญาประชาคมนั้น ๆ โดยดุษณีภาพ ๑.๑ สถานภาพของสถาบันพุทธศาสนาในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ? ๒๓ ในภาคอีสาน และล้านช้าง จากการศึกษาเนื้อหาสาระในศิลาจารึกอีสานสมัยอิทธิพลล้านช้าง พบว่า สถาบันพุทธศาสนานั้นได้รับอภิสิทธิ์มาก เนื่องจากสถาบันพุทธศาสนาได้ทำหน้าที่ควบคุมความประพฤติของประชาชนในสังคม อันเป็นแนวร่วมในจุดหมายเดียวกันกับการสั่งสอนพระธรรมของศาสนา นั่นคือทั้งฝ่ายอาณาจักรและพุทธจักรได้ร่วมกันประสานผลประโยชน์ ประชาชนก็ยินดีประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมเพื่อหวังเนื้อนาบุญ ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น จากเหตุผลอันนี้ช่วยให้เราอนุมานได้ว่าสภาพสังคมในสมัยนั้นคงเต็มไปด้วยความสันติสุข นอกจาก นี้เรายังพบว่าสถาบันพุทธศาสนามั่นคง และมีสถานภาพไม่ด้อยไปกว่าสถาบันกษัตริย์ ซึ่งได้รับอภิสิทธิ์อย่างมากเมื่อเทียบกับสถาบันพุทธศาสนาในกรุงศรีอยุธยาสมัยเดียวกัน โดยเฉพาะมีข้าโอกาส (ข้าพระโยมสงฆ์) มารับใช้ปรนนิบัติในการบำเพ็ญศีลภาวนาของพระสงฆ์ มีที่ดินที่เก็บเกี่ยวผลประโยชน์บำรุงพระศาสนา และมีนาจังหันที่เก็บภาษีอากรถวายแก่วัด๔ ฉะนั้นประชากรในวัด (พระเถระ พระภิกษุ สามเณร ศิษย์วัด) จะมีโภคทรัพย์อาหารอย่างบริบูรณ์ ซึ่งได้จากการเสียภาษีอากรของประชาชนคือข้าโอกาสที่ทำกินอยู่ในเขตนาจังหัน ซึ่งพระ มหากษัตริย์อุทิศให้เป็นเขตพื้นที่อุปถัมภ์แก่วัด ในการถวายนาจังหันแก่วัดนี้ พบว่า พระมหากษัตริย์สมัยหลัง ๆ จะอุทิศนาจังหันเพิ่มเติมมักจะบอกกล่าวให้ทราบแน่ชัดว่าเขตนาจังหันหรือที่ดินที่พระมหากษัตริย์องค์ก่อน ๆ ได้อุทิศไว้ก่อนหน้านี้แล้วอีกส่วนหนึ่งด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่าสถาบันพุทธศาสนานั้นมีอาณาบริเวณ มีอำนาจเก็บภาษีอากร มีผู้คนรับใช้เป็นเจ้า หน้าที่ และดูเหมือนว่าจะมีอำนาจบริหารกิจการภายในวัด ซึ่งทางรัฐหรือกษัตริย์ไม่เข้ามาเกี่ยวข้องจนดูเหมือนเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ ที่ซ้อนอยู่ภายในอาณาจักรใหญ่ แต่กระนั้นก็ตามเราก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่า สถาบันพุทธศาสนาคือวัดต่าง ๆ จะมีอภิสิทธิ์มีอำนาจทัดเทียมกับอำนาจฝ่ายอาณาจักรของรัฐทุกอาราม เพียงแต่เชื่อได้ว่า พระอารามที่พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ปฏิสังขรณ์ หรือได้ประกาศกัลปนาโดยสร้างศิลาจารึกไว้นั้น จะเป็นอารามที่มีอำนาจหรือมีอภิสิทธิ์ และมักจะพบว่ามีพระเถระผู้ใหญ่สถิตอยู่ในอารามเหล่านั้น (ปรากฏนามอยู่ในศิลาจารึกนั้น ๆ ด้วย)๕ ฉะนั้นการศึกษาสถาบันวัดในภาคอีสานสมัยอิทธิพลล้านช้าง น่าจะอธิบายถึงรูปแบบและบุคลากรที่ประกอบกันเป็นสถาบันได้ดังนี้ ๑) บุคลากร น่าจะประกอบด้วย - พระเถระผู้ใหญ่ (ผู้รับอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์โดยปริยาย) - พระภิกษุสามเณร (ผู้ทำหน้าที่ศึกษาพระธรรมวินัย และสั่งสอนประชาชน) - สังฆการี (ผู้บริหารบุคลากรฝ่ายฆราวาสในวัด) - ข้าโอกาส (เลกวัดที่พระมหากษัตริย์, เจ้านายอุทิศให้) - ประชาชนในเขตนาจังหัน เป็นผู้เสียอากรบำรุงวัด เรียกว่า เงินเสียค่าหัว และข้าวพีชภาค (เรียกตามข้าโอกาสวัดพระธาตุพนมปัจจุบัน) ๒) ทรัพย์สิน น่าจะประกอบด้วย - รัตนเขต หรือพุทธเขต (ที่ดินกัลปนาเป็นเขตวิสุงคามสีมา คือเขตที่แยกจากหมู่บ้าน ส่วนใหญ่หมายถึงบริเวณพระอุโบสถ) - คามเขต (พื้นที่โดยรอบบริเวณวัด) - นาจังหัน (พื้นที่นารวมทั้งประชาชนในเขตนาจังหัน ที่เรียกว่าข้าโอกาส) นอกจากนี้ยังพบว่าพืชผลอันเกิดอยู่ในเขตพื้นดินที่อุทิศให้แก่วัด จะเป็นเขตนาจังหันก็ดี หรือคามเขตก็ดี ย่อมเป็นทรัพย์สินส่วนหนึ่งของวัด ในการเก็บผลนั้นต้องมีคนสังฆการีร่วมด้วย๖ ฉะนั้นการที่พระมหากษัตริย์ได้อุทิศที่ดิน นาจังหัน และผู้คนแก่พระอารามนั้น ก็เป็นผลดีที่สถาบันวัดสามารถเลี้ยงตัวเองได้ โดยพระมหากษัตริย์ไม่ต้องดูแลเรื่องอัฐบริขารและจตุปัจจัยรวมทั้งภัตตาหารกับพระอารามที่อยู่ห่างไกล แม้ว่าในบางรัชสมัยจะมีปัญหาเรื่องการเกณฑ์ไพร่พลในกองทัพอยู่บ้าง สมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชก็ได้ทรงแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้ว โดยยอมให้เกณฑ์ไพร่พลเข้ากองทัพจากเลกวัด (ข้าโอกาส) และไพร่พลที่อยู่ในเขตนาจังหันได้ โดยอ้างว่าข้าศึกนั้นมาทำลายล้างพระศาสนาด้วย เช่น ?(ห้ามเจ้า)บ้านเจ้าเมืองเอาอันหนึ่ง... มาใส่เวียกแก่ข้าฝูงนี้แต่ควรในเมื่อข้าเศิกมาราวีบ้านเมืองสิ่งเดียว เหตุจักสืบ(พระ)ศาสนา...?๗ หรือ ?...เจ้าบ้านเจ้าเมืองผู้ใดก็ดี อย่าให้บอกเวียกบ้านเวียกเมืองแก่เขานี้ เศิกมันมายึดเอาหากจักบอก ผู้ใดม้างพระราชอาชญาเสียให้มันตกมหาอเวจีอย่ารู้ออก...?๘ เป็นต้น (อธิบายศัพท์ : ใส่เวียกกับข้าฝูงนี้ ? ใช้งานกับข้าโอกาสเหล่านี้ / เวียก ? การงาน / ม้าง ? ทำลาย) ในการสร้างศิลาจารึกประกาศพระบรมราชโองการนี้ ตอนท้ายความมักจะมีคำสาปแช่งไม่ให้กษัตริย์องค์ใหม่มาเพิกถอนสิทธิ์ในเขตดิน หรือผู้คนที่อุทิศถวายไว้เพื่ออุปถัมภ์พระศาสนา (ดังความตอนท้ายของตัว อย่างข้างต้น) ๑.๒ ข้าโอกาสหรือเลกวัด การที่พบว่าในสถาบันวัดในภาคอีสานและล้านช้างนั้น มีผู้มีใจศรัทธาต่อศาสนาได้อุทิศข้าทาสให้ไปรับใช้พระภิกษุสงฆ์ในวัดที่เรียกว่า ?ข้าโอกาส? (Temple serf) หรือ ?ข้าพระโยมสงฆ์? นั้น คนกลุ่มนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดไปโดยตลอด แม้ว่าสมรสกันมีลูกหลานออกมานั้น บุตรธิดาก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดเช่น เดิม และในขณะเดียวกันคนกลุ่มที่เป็นข้าโอกาสนี้ก็จะขาดจากอำนาจของรัฐ นั่นคือรัฐจะเกณฑ์แรงงานมารับใช้ราชการหรือเจ้านาย (ที่เรียกแบบภาคกลางว่าเข้าเดือนออกเดือน) ไม่ได้เพราะเป็นสมบัติของพระศาสนาแล้ว ฉะนั้นบางวัดที่มีผู้อุทิศข้าโอกาสไว้กับวัดจำนวนมาก หรือได้สืบลูกหลานจำนวนมากขึ้นภายหลัง จึงต้องมีเจ้าหน้าที่ดูแลปกครองกันภายในวัด และจัดแบ่งหน้าที่กันตามระดับชั้น ข้อความบางตอนในศิลาจารึกวัดมุจ ลินทร์ (ข.ก. ๘) ได้ให้ความกระจ่าง เรื่องการกำหนดหน้าที่ของข้าโอกาสในวัดโดยเฉพาะตอนที่กล่าวถึงนักโทษอาญาแผ่นดินที่หนีภัยเข้ามาพึ่งพระศาสนา จะงดโทษอาญาทางบ้านเมือง และยกให้เป็นข้าโอกาส โดยจัดหน้าที่ตามฐานานุรูป ดังนี้ ?...ครั้นใส่สินไหมแล้ว ข้อยก็ให้หาเวียกข้อย ไพร่ให้หาเวียกไพร่ คนผู้ใดให้หาเวียกผู้นั้น...?๙ (เมื่อปรับไหมแล้ว ถ้าเป็นทาสก็ใช้งานหน้าที่ทาส ไพร่ก็ใช้งานไพร่ คนชั้นใดก็ใช้งานตามชนชาตินั้น) การจัดระบบในสถาบันพุทธศาสนาในสังคมอีสานสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๑-๒๓ นั้น (หรืออาจจะสืบ เนื่องมาในสมัยหลังอีก) ดูเหมือนว่าสถาบันพุทธศาสนานั้นสนใจในโภคทรัพย์มากเกินความจำเป็น ซึ่งขัดต่อสมณวิสัยตามปรัชญาของพุทธศาสนา แต่จากการศึกษาเรื่องข้าโอกาสในอาณาจักรไทยส่วนอื่น ๆ ในยุคสมัยเดียวกัน เช่น สุโขทัย ล้านนาเชียงใหม่ จะใช้ธรรมเนียมเดียวกัน (ส่วนอยุธยา ยังไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนจึงไม่อาจจะเชื่อได้ว่าใช้ธรรมเนียมเดียวกัน) เช่น ในอาณาจักรสุโขทัย พบหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ ๒ (มหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีฯ) พ.ศ. ๑๘๘๔-๑๙๑๐ และศิลาจารึกวัดช้างล้อม หลักที่ ๑๐๖ (พ.ศ. ๑๙๒๗) และจารึกฐานพระพุทธรูปผ้าขาวทอง (พ.ศ. ๑๙๖๕) ฯลฯ ดังจะยกตัวอย่างพอสังเขปดังนี้ ?...แต่งคนเฝ้ารักษาหลายครัวมีทั้งสวนหมากสวนพลู ไร่นา๑๐...? (พระมหาเถระศรีศรัทธาราชจุฬามุนีฯ) ?...ไว้คนเรือนหนึ่ง แต่งจังหันพระเจ้า พาทย์คู่หนึ่ง ให้ข้าสองเรือนตีบำเรือแก่พระเจ้า ฆ้องสองอัน กลองสามอัน แตร สังข์ เขาควาย แต่งให้ไว้ถวายแก่พระเจ้า แล้วบวชเมียบวชลูก บวชหลาน บวชข้า ข้าแลเมียมักกันให้ขาแก่กันไปเป็นไทให้เลี้ยงแม่ผู้ชาย๑๑ (พ่อนมใสคำ)? ?ผ้าขาวทองแต่งข้าพระ แม่มูบเมีย ชื่อยงลูก ไว้เป็นข้า แม่ลูกเป็นข้าพระนี้แล...๑๒? (ชีผ้าขาวทอง) ดังตัวอย่างข้างต้นนี้จะพบว่า ธรรมเนียมการอุทิศข้าพระโยมสงฆ์ หรือข้าโอกาสแก่พระภิกษุนั้นในสุโขทัยเริ่มนิยมกันแล้ว ตั้งแต่พระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีฯ และภายหลังก็มีผู้ศรัทธานิยมถวายทาสโอกาส แก่พระศาสนามากขึ้น เช่น ศิลาจารึกวัดอโศการาม หลักที่ ๙๓ (พ.ศ. ๑๙๔๒) ศิลาจารึกวัดเขมา หลักที่ ๑๔ (พ.ศ. ๒๐๗๙)๑๓ แต่กระนั้นก็ดีการอุทิศข้าโอกาสเพื่อรับใช้พระเถระ เช่น จัดหาจังหัน รักษาพยาบาลพระภิกษุ ดูแลไร่นาจังหันอีกด้วย จำนวนน้อยพอเหมาะสมที่จะอุปัฏฐากรับใช้พระภิกษุสามเณรในวัด มิได้มีจำนวน มาก ๆ ดังปรากฏอยู่ในศิลาจารึกอีสานสมัยอิทธิพลล้านช้าง แต่อย่างไรก็ตามจากหลักฐานการอุทิศข้าโอกาสถวายแก่วัดนี้ เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า ในสังคมสุโขทัยนั้นมีทาสบ้างแล้ว ดังจะเห็นได้ชัดเจนในศิลาจารึกวัดช้างล้อม (พ.ศ. ๑๙๒๗) และในขณะเดียวกันมักจะพบว่าบุคคลที่นิยมอุทิศให้เป็นข้าโอกาสในสังคมสุโขทัยมักจะเป็นเครือญาติ เช่น ภรรยา ลูกหลาน มากกว่า ข้าทาส ธรรมเนียมการอุทิศข้าโอกาสแก่วัดคงจะเริ่มจากอาณาจักรสุโขทัยก่อน หรือในระยะเวลาเดียวกับกลุ่มพระภิกษุลังกาวงศ์สายเมืองพัน (ลังกาวงศ์แบบมอญ ซึ่งมีพระอุทุมพรมหาสวามีเป็นเจ้าสำนัก) ซึ่งเข้ามาสู่อาณา จักรสุโขทัยในรัชสมัยพระเจ้าลิไทย๑๔ เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๔ มีการต้อนรับโดยขัดข้าวตอกดอกไม้กัลปพฤกษ์บูชาตลอดระยะทางจากเมืองฉอด เชียงทอง บางจันทร์ บางพาร จนถึงเมืองสุโขทัยและพระภิกษุกลุ่มนี้ได้เผยแผ่พระศาสนาไปสู่รัฐไทยต่าง ๆ เช่น พระสุมนเถระขึ้นไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาลังกาวงศ์แบบมอญที่ชียงใหม่ในรัชสมัยพระเจ้ากือนา ดังปรากฏหลักฐานอยู่ในศิลาจารึกวัดพระยืน จังหวัดลำพูน หลักที่ ๖๓ (พ.ศ. ๑๙๑๓) และไปสร้างวัดบุปผาราม (วัดสวนดอก) เมืองเชียงใหม่ ในรัชสมัยพระเจ้ากือนา (พ.ศ. ๑๙๐๙ ? ๑๙๒๘) ธรรมเนียมการอุทิศข้าโอกาสแก่วัดในภาคเหนือนี้ น่าจะเริ่มนับตั้งแต่ศิลาจารึกวัดบางสนุก หลักที่ ๑๐๗ (ประมาณ พ.ศ. ๑๘๘๒) จังหวัดแพร่ มีความตอนหนึ่งที่กล่าวถึงเจ้าเมืองตรอกลลอบ (ในเขตเมืองแพร่) ได้อุทิศข้าโอกาสแก่วัดว่า ?...แลจึงแต่งกระยาทาน.. คนครอกหนึ่งให้ดูพระ ช้างตัวหนึ่ง ม้าตัวหนึ่ง วัวตัวหนึ่ง ควายตัวหนึ่ง...?๑๕ แสดงให้เห็นว่า ธรรมเนียมการอุทิศข้าโอกาสได้ใช้พร้อม ๆ กับอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งในสมัยสุโขทัยนั้นพบว่าเมืองแพร่ เมืองพัว (ปัว) เมืองน่าน รวมกันเป็นรัฐอิสระชื่อนันทบุรี ที่มีความสัมพันธ์กับสุโขทัยมากกว่าอาณาจักรล้านนา๑๖ และเมื่อถึงรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔-๒๐๓๐) ครองเมืองเชียง ใหม่ อิทธิพลทางด้านการเมือง และวัฒนธรรมล้านนาก็เข้ามามีอิทธิพลแทนที่ในบริเวณรัฐนันทบุรีโดยเฉพาะวัฒนธรรมการเขียนหนังสือ จะพบว่าอักษรไทยฝักขามและอักษรตัวเมือง (อักษรยวน) เข้ามาใช้แทนอักษรสุโขทัยในการบันทึกศิลาจารึกในสมัยหลังต่อมา การอุทิศข้าโอกาสแก่วัดในอาณาจักรล้านนาที่เป็นหลักฐานชัดเจนนั้น น่าจะได้แก่ศิลาจารึกวัดสุวรรณมหาวิหาร เมืองพะเยา เลขทะเบียน ลพ.๙ (พ.ศ. ๑๙๕๔) ได้กล่าวถึงพระมหาเทวีและเจ้าสีหมื่น (เจ้าเมืองพะเยา) ได้สร้างวัดสุวรรณมหาวิหาร และอุทิศให้นาจังหันจำนวน ๒๑๖๘๕ เข้า (ข้าว) บ้านเรือน ๒๔๖ เรือน และลูกวัด (ข้าโอกาส) ๔๒๑๗ แสดงให้เห็นว่าในภาคเหนือได้พัฒนารูปแบบการอุทิศข้าโอกาส และนาจังหันรุดหน้าไปมากกว่าธรรมเนียมของสุโขทัย ธรรมเนียมการอุทิศนาจังหันและข้าโอกาสในภาคเหนือได้พัฒนาเป็นระบบเสมือนสถาบันพุทธศาสนาเป็นอาณาจักรน้อย ๆ อาณาจักรหนึ่งภายในขอบเขตอำนาจของวัด ซึ่งจะพบศิลาจารึกที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าติโลกราชเป็นต้นมา นั่นคือมีผู้คนมากมาย เช่น ศิลาจารึกวัดเชียงมั่น อำเภอเมืองเชียงใหม่ เป็นตัวอย่าง หัวข้อ: ๑. พุทธศาสนาภาคอีสานสมัยอิทธิพลอาณาจักรล้านช้าง (พุทธศตวรรษที่ ๒๐ ? ๒๓) (ต่อ) เริ่มหัวข้อโดย: เต้ อุบล ที่ 12 มกราคม 2555, 21:55:55 ๑.๓ นาจังหัน
นาจังหัน คือที่ดินสำหรับทำไร่ทำนาที่พระมหากษัตริย์ได้อุทิศถวายไว้เป็นศาสนสมบัติ เพื่อเก็บผล ประโยชน์สำหรับบำรุงวัด และพระภิกษุในวัด ธรรมเนียมการอุทิศนาจังหันถวายวัดนี้ มีความหมายมากกว่าการอุทิศที่ดินถวายวัดในปัจจุบันมาก นั่นคือทั้งที่ดินและประชาชนที่อาศัยอยู่ในที่ดินเหล่านั้นจะเป็นสมบัติของวัดด้วย ขาดจากกรรมสิทธิ์ของฝ่ายอาณาจักรดังกล่าวแล้ว นับตั้งแต่พระมหากษัตริย์หยาดน้ำลงแผ่นดินอุทิศให้จนถึง ๕,๐๐๐ พรรษา๑๘ พระมหากษัตริย์รัชกาลที่สืบต่อมาไม่มีสิทธิ์เพิกถอนกรรมสิทธิ์ หากเพิกถอนก็จะต้องคำสาปแช่งตามที่พระมหากษัตริย์องค์ที่อุทิศประกาศไว้ในศิลาจารึก เช่น ตกอบายทั้งสี่ ไม่มีโอกาสพบศาสนาพระศรีอารย์เป็นต้น๑๙ ถึงแม้ว่าศิลาจารึกบางหลักจะไม่ปรากฏคำสาปแช่ง แต่ก็เป็นธรรมเนียมที่จะไม่เพิกถอนคำอุทิศของบูรพกษัตริย์ เนื่องจากเกรงต่อบาปหรือต้องคำสาปแช่ง การอุทิศนาจังหันที่พบในศิลาจารึกอีสานและล้านช้างสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ? ๒๒ นั้น พบว่าพระมหากษัตริย์เป็นผู้อุทิศเกือบทั้งสิ้น มีบางส่วนที่เจ้าเมืองหรือเจ้าหัวเมืองเป็นผู้อุทิศเฉพาะที่ดิน ไม่ได้หมาย ถึงนาจังหัน แต่ก็ยังกล่าวอ้างว่าเป็นที่ดินที่ได้รับพระราชทานจากพระมหากษัตริย์เป็นกรรมสิทธิ์แล้ว เช่น ในศิลาจารึกวัดแดนเมือง ๑ พระยาปากเจ้า (เจ้าเมืองปากห้วยหลวง) ได้อุทิศที่ดินสำหรับสร้างวัดแดนเมือง ถ้าเราพิจารณาแยกกันว่าส่วนที่เป็นบริเวณวัดส่วนหนึ่ง (คือคามเขต และพุทธเขต) และส่วนที่เป็นนาจังหันอีกส่วนหนึ่ง จะพบว่าที่ดินที่เป็นนาจังหันนั้น พระมหากษัตริย์หรือพระญาติวงศ์ผู้ใหญ่เท่านั้นที่จะมีอาญาสิทธิ์ในการอุทิศ เพราะนั่นหมายถึงการกำหนดให้ประชาชนที่ทำกินในพื้นที่ดังกล่าวนั้นหลุดพ้นจากพันธะของฝ่ายอาณา จักรด้วย (ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน ไม่ต้องเข้าเวรรับใช้เจ้าสังกัด มูลนาย ไม่ต้องเสียภาษีอากรให้แก่รัฐ) ฉะนั้นจึงไม่พบว่าท้าวเพี้ยหรือเจ้าเมืองมีอำนาจพอที่จะอุทิศที่นาจังหันให้แก่วัดได้ ธรรมเนียมการอุทิศที่ดินให้เป็นนาจังหันในอาณาจักรล้านช้างนั้น ยังไม่พบหลักฐานว่าเริ่มต้นในสมัยใด แต่จากหลักฐานในศิลาจารึกวัดแดนเมือง ๒ นั้น พอจะอนุมานได้ว่า ได้เริ่มต้นนิยมกันก่อนสมัย พ.ศ. ๑๙๙๙ ? ๒๐๒๑ แล้ว มีข้อความกล่าวว่า ?...ไร่นา บ้านเมือง หมากพลู พร้าวตาล ข้อยกับวัดกับพระ แต่ชายมุยและลุงพระยาจันทร์ ได้หยาดน้ำไว้ว่า ใผยังถอนออกไปหาเจ้าหาขุนให้เอาคืนดังเก่าเวียกบ้านเวียกเมืองอย่าให้เยด (ทำ)?๒๐ แสดงให้เห็นว่าในบริเวณเมืองปากห้วยหลวง (อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย) ได้มีการอุทิศที่นาจังหันไว้ก่อนหน้ารัชสมัยพระเจ้าโพธิสาลราช (พ.ศ. ๒๐๖๓ ? ๒๐๙๓) และในรัชสมัยต่อมากษัตริย์แห่งล้านช้างก็ได้ยึดธรรมเนียมการอุทิศที่นาจังหัน (รวมทั้งประชาชนในเขตนาจังหันด้วย) ให้แก่วัดสืบต่อกันมา จนถึงรัชสมัยพระมหาพรหมเทโวโพธิสัตว์ (พระสุริย วงศา) พ.ศ. ๒๑๗๖ ? ๒๒๓๓ หลังจากนั้นเราก็ไม่พบศิลาจารึกอุทิศที่นาจังหันให้แก่วัดอีก น่าจะมีสาเหตุจากกรณีความไม่สงบเรียบร้อยในการสืบราชสมบัติของอาณาจักรล้านช้างในช่วง พ.ศ. ๒๒๓๓ ? ๒๓๒๒ ครั้นถึงสมัยอิทธิพลราชธานีไทย พบเพียงแห่งเดียวที่มีการอุทิศที่ดินเป็นนาจังหัน คือ ศิลาจารึกวัดป่าใหญ่ (วัดมหาวนาราม) อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๐ (ตรงกับรัชกาลที่ ๑) ในการศึกษาธรรมเนียมการอุทิศที่นาจังหันในรัฐไทยอื่น ๆ เช่น สุโขทัย ล้านนา และอยุธยา พบแต่ในสมัยสุโขทัยและล้านนา ส่วนอยุธยานั้นมาพบหลักฐานการกัลปนาที่ดินสำหรับวัดในสมัยตอนปลายนั่นคือการกัลปนาที่ดินให้วัดในเมืองพัทลุง (ซึ่งมีเจ้าเมืองนับถือศาสนาอิสลาม) ส่วนในยุคสมัยอยุธยาตอนต้นไม่พบหลัก ฐานจึงงดกล่าวถึงในที่นี้ หลักฐานการอุทิศนาจังหันในสมัยสุโขทัยนั้นน่าจะเริ่มนับได้ตั้งแต่ใน พ.ศ. ๑๘๘๔ ? ๑๙๐๐ คือศิลาจารึกหลักที่ ๒ (พระมหาสวามีศรีศรัทธาราชจุฬามุนีฯ) ว่า ?...ไว้คน แต่งเฝ้ารักษาหลายครัวมีทั้งสวนหมากสวนพลู ไร่นากร...? แต่กระนั้นก็ตามยังเห็นภาพนาจังหันไม่ชัดเจนว่ามีความหมายเพียงไร่นาหรือหมายรวมทั้งผู้คนที่ทำกินอยู่ในที่ดินเหล่านั้นด้วย คตินิยมในการอุทิศนาจังหันนั้นจะเห็นได้ชัดเจนในสมัยต่อ มาอีกเล็กน้อย คือ พ.ศ. ๑๙๔๒ ศิลาจารึกวัดอโศการาม หลักที่ ๙๓๒๑ เป็นพระราชเสาวนีย์ของพระมหาอัครเทวี มีความตอนหนึ่งว่า ?...แล้วท่านก็ช่วยประดิษฐาผู้คนอันแต่งกับปิการพยาบาลทั้งหลายห้าสิบเรือน มีประธานคือนายเชียงจันทร์กับนาสองร้อยล้าน...ก่อนข้าวยี่สิบห้าเกวียนทุกรุ่งปี ท่านซื้อสวนทั้งหลายห้าล้านเป็นสูป-พยัญชนาการโดยประมาณแลวันแลห้าสิบบาทพาทย์ถ้วนสำรับ กับแตรสังข์ ทั้งกริยาบูชาทั้งหลาย ฯลฯ ทั้งทักษิณาราม เสด็จแม่อยู่หัวก็สร้างแก่มหาวันรัตเถระแล้วท่านประดิษฐานาร้อยหนึ่งเป็นข้าวสิบเกวียน ไพร่สิบเรือนแต่งพยาบาลวัดนั้น ฯลฯ? ศิลาจารึกสมัยสุโขทัยที่สร้างในสมัยใกล้เคียงกัน หรือสมัยหลังจากวัดอโศการาม พบว่าได้อุทิศที่ดินเป็นนาจังหันมากขึ้น เช่น ศิลาจารึกวัดสรศักดิ์ พ.ศ. ๑๙๖๐๒๒ และได้เรียกว่านาจังหันอีกด้วย ส่วนในอาณาจักรล้านนาได้เป็นรูปแบบของการอุทิศนาจังหันแก่วัดตั้งแต่ ศิลาจารึกวัดสุวรรณมหาวิหาร พ.ศ. ๑๙๕๔ ซึ่งอยู่ในสมัยไล่เลี่ยกับสุโขทัย ถ้าพิจารณาถึงปริมาณที่อุทิศให้แก่วัดนั้นพบว่าเจ้าสี่หมื่น (เจ้าเมืองพะเยา) ซึ่งมีฐานะเป็นเมืองเล็กจึงกระทำในนามของเจ้ามหาราช และมหาเทวีแห่งเชียงใหม่ได้อุทิศทรัพย์สินที่นาจังหันจำนวนมากแก่วัดสุวรรณมหาวิหาร ดังนี้ ?...เจ้ามหาราชมหาเทวีมีใจใสศรัทธาด้วยเจ้าสี่หมื่นดายกลาย จึงจะหล่อน้ำสู่เหนืออุทกตกแผ่นดิน นรินทรมีศรัทธาบ่ขาด จึงจะอบพกาส (ประกา) ให้แก่พระสุวรรณวิหาร มีประมาณ ๒๑,๖๘๕ เข้า (ข้าว) ผิจะนับเข้าเป็นค่าว่าได้ ๔,๖๘๖,๐๐๐ แล แม้จะนับหมากได้หมื่นล้ำคำ จะนับบ้าน (หมู่บ้าน) ไซร้ได้ ๑๘๗ บ้าน (หมู่บ้าน) ย่อมบ้านมีเริน (หมู่บ้านย่อมมีเรือน) ผิจะนับว่าเรินไซร้ได้ ๒๔๖ เริน (เรือน) ย่อมเรินสกัด ผิจะนับลูกวัดไซร้ได้ ๔๒ ย่อมเป็นของเจ้าสี่หมื่นให้สร้างไว้กับพระสุวรรณวิหารแล แด่บ้านฝูงนี้นา ฝูงนี้ย่อมมีหินเสมาตราทุกอันแล...?๒๓ ในอาณาจักรล้านนาจะพบว่ามีการอุทิศที่ดินให้เป็นนาจังหันจำนวนมาก ซึ่งลักษณะดังกล่าวย่อมขัด แย้งกับหลักปรัชญาของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ที่กำหนดให้พระภิกษูเป็นผู้สมถะ ไม่ยินดีในโภคทรัพย์ แต่เมื่อพบ ว่าธรรมเนียมการอุทิศข้าโอกาส นาจังหัน ให้แก่วัดนี้มีจำนวนมากเกินความจำเป็นในการดำรงชีพอย่างสมถะของพระสงฆ์ ต่างไปจากสมัยพระพุทธองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่ พระมหากษัตริย์แห่งแคว้นต่าง ๆ ของอินเดียได้สร้างอาวาสถวายเป็นที่พักเท่านั้น หาได้อุทิศที่นาจังหันหรือผู้คนจำนวนมากเช่นที่ปรากฏอยู่ในดิน แดนประเทศไทยสมัยอดีตแต่อย่างไรไม่ เมื่อศึกษาศาสนาพุทธในลังกาพบว่า ธรรมเนียมการอุทิศที่ดินผู้คนเป็นข้าโอกาสแก่พระอารามนี้ นิยมปฏิบัติกันในประเทศลังกาตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๗-๘ แล้ว๒๔ เนื่องด้วยพระมหากษัตริย์แห่งลังกาคงเกรงว่าในกาลต่อไปพุทธศาสนาจะขาดผู้คนเอาใจใส่ทะนุบำรุง และถวายปัจจัยไทยทานแก่พระภิกษุสงฆ์ เนื่องจากผู้คนศาสนาอื่นเข้ามาแทนที่ ซึ่งดูตัวอย่างจากอินเดียที่พุทธศาสนาเริ่มเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว และมหาราชในรัฐทางตอนใต้ของอินเดียและประชาชนจำนวนมากเป็นฮินดู และใส่ใจในพุทธศาสนาน้อยลง หลังจากนั้นพระมหากษัตริย์แห่งศรีลังกาทุกพระองค์วิตกกังวลว่าพระสงฆ์เถระจะไม่มีผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนในกาลต่อ ไปในอนาคต จึงอุทิศที่ดินและกำหนดบริเวณพุทธสถานไว้ชัดเจน ห้ามท้าวพระยาเข้าไปเก็บส่วยอากรโดย เฉพาะรัชสมัยพระเจ้ากัสสปที่ ๔ และ ๕ (King Kassap IV, V) พุทธศตวรรษที่ ๑๖ ได้อุทิศนาจังหัน ผู้คนอย่างมากมายกับพระวิหารสำคัญ ๆ๒๕ ครั้นเมื่อมาพิจารณาหลักฐานที่พบในดินแดนประเทศไทยบ้าง คติการอุทิศข้าโอกาสและนาจังหันแก่วัดนี้เพิ่งมาปรากฏสมัยสุโขทัย ก่อนหน้านี้พบแต่คตินิยมของเขมรที่อุทิศที่ดินและข้าทาสสำหรับดูแลเทวสถาน เช่น ศิลาจารึกปราสาทหินพนมรุ้ง เป็นตัวอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะพบหลักฐานว่าพระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนประเทศไทยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑ หรือก่อนหน้านั้นแล้วก็ตาม แต่เราไม่พบหลักฐานการอุทิศที่นาจังหันแก่พุทธสถานดังกล่าว ศิลาจารึกในประเทศไทยในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ? ๑๕ นั้น มีข้อความจำนวนมากที่บอกให้ทราบว่า ได้บันทึกเรื่องราวของพุทธศาสนา เช่น คาถาเยธมฺมา เป็นต้น พบเพียงแห่งเดียวที่บอกถึงการสร้าง ศาสนสถาน เช่น อุโบสถ และจัดเตรียมจังหัน ภัตตาหาร แก่พระภิกษุ พราหมณ์คือ ศิลาจารึกวัดมเหยงค์๒๖ พุทธศตวรรษที่ ๑๒ ? ๑๓ จังหวัดนครศรีธรรมราช แต่ก็ยังไม่เห็นรูปแบบการอุทิศนาจังหันให้แก่วัดตามคติลังกา ในการศึกษาพุทธศาสนาจะพบว่า ในช่วงสมัยสุโขทัย พระภิกษุไทย (ทั้งสุโขทัย อยุธยา และล้านนาเชียงใหม่) นิยมเดินทางไปศึกษาพระธรรมวินัยจากลังกาโดยตรง หรือศึกษาพุทธศาสนาลังกาวงศ์จากเมืองพัน (เมาะตะมะ) ฉะนั้นคตินิยมเรื่องการสร้างนาจังหันให้แก่วัดเพื่อเป็นการสืบศาสนาไม่ให้เสื่อมในอนาคตกาลนั้น จึงอยู่ในความคิดของพระภิกษุที่รู้เรื่อง และเห็นรูปแบบการอุทิศนาจังหันของพระมหากษัตริย์แห่งลังกาเป็นตัว อย่าง จึงพยายามที่จะเสนอความเห็นนี้แก่พระมหากษัตริย์หรือเจ้าครองนคร ตามหลักฐานที่ปรากฏนั้นพบอยู่ในตำนานมูลศาสนา ที่พระสุมนเถระได้ขอนาจังหันจากพระเจ้ากือนากษัตริย์เชียงใหม่ เพื่อบำรุงวัด คตินิยมเรื่องการอุทิศนาจังหันเพื่อให้เก็บส่วยสาอากรบำรุงวัด บำรุงพระธาตุเจดีย์ตลอดจนพระพุทธรูปสำคัญ ได้นิยมปฏิบัติกันสืบมา และได้เผยแพร่เข้าสู่อาณาจักรล้านช้างในสมัยต่อมา หรือในสมัยไล่เลี่ยกันนั้นความวิตกกังวลเรื่องพุทธศาสนาจะเสื่อมโทรมก่อน ๕,๐๐๐ พรรษานี้ ดูเหมือนชาวพุทธในสมัยสุโขทัยเริ่มวิตกกังวลมาก เนื่องจากเห็นตัวอย่างความเสื่อมโทรมของพุทธศาสนาในอินเดียอย่างรวดเร็ว จึงเร่งที่จะฟื้นพุทธศาสนาในดินแดนประเทศไทย ทั้งสุโขทัย ล้านนา และล้านช้าง ส่วนในอยุธยาก็คงมีความวิตกเช่นเดียวกั้น จึงพบว่าพระมหากษัตริย์อยุธยาหลายพระองค์ได้ทะนุบำรุงพระศาสนา โดยการสร้างพระอารามบ้าง ก่อสร้าง ศาสนสมบัติบ้าง แต่ก็ไม่พบหลักฐานการอุทิศที่ดินเป็นนาจังหัน๒๗ จนถึงสมัยอยุธยาตอนปลายที่มีการกัลปนาที่ดินแก่พุทธศาสนาที่เมืองพัทลุงดังกล่าวแล้วข้างต้น ๑.๔ เขตปลอดอาญาแผ่นดิน จากการศึกษาเนื้อหาในศิลาจารึกอีสานสมัยไทย ? ลาว นอกจากจะให้สาระสำคัญเรื่องข้าโอกาส และนาจังหันแล้ว ยังพบว่าหลัก (ขก. ๘) ได้ให้ความรู้เรื่องการประกาศเขตปลอดอาญาแผ่นดิน การที่พบว่าพระมหากษัตริย์ได้ประกาศเขตวัด (บางวัด) ให้เป็นเขตปลอดอาญาแผ่นดินนั้น แสดงให้เห็นว่าทรงยกย่องสถาบันพุทธศาสนาสูงมาก และประกาศให้อาญาสิทธิ์แก่วัด นั่นคือผู้ที่กระทำผิดพระราชอาญา ผิดกฎหมาย ครั้นเมื่อหนีเข้าไปในเขตวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงประกาศให้เป็นเขตปลอดอาญาแผ่นดิน จะได้รบอภัยโทษทันที ดังปรากฏอยู่ในศิลาจารึกวัดมุจลินทอาราม ๑ (ขก. ๘) ตอนหนึ่งว่า ?มาตราหนึ่ง บพิตรเจ้าตนเป็นภูมิบาลปลงประสิทธิ์อาชญาในฉันนี้ บุคคลใดพิบัติในพระราชอาชญา แลผิดขุนผิดนายตัวแล่นเข้ามาในเขตมุจลินทอารามที่นี้ แม่นว่าปาทะหนึ่งเข้าปาทะหนึ่งอยู่นอกก็ดี ให้อภัยชีวิตแก่บุคคลผู้นั้น ผิดควรฆ่าควรผูกควรตี อย่าผูกอย่าตีอย่าฆ่า เท่าให้มีข้าวตอกดอกไม้เผิ้ง (ผึ้ง) เทียน คารวะแก่แก้วทั้ง ๓ แล้วให้เอาออกมาพิจารณาตามคองเมือง ครั้นใส่สินไหมแล้วข้อยให้หาเวียกข้อยไพร่ให้หาเวียกไพร่ คนผู้ใดให้หาเวียกผู้นั้น พระราชอาญาประสิทธิ์ไว้ดังนี้ เพื่อให้เป็นนรหิตถาวรกับพระศาสนา...ฯลฯ?๒๘ (สรุปความว่า พระมหากษัตริย์ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศว่า บุคคลใดที่ต้องโทษอาญาแผ่นดินและกระทำผิดต่อมูลนาย เมื่อวิ่งเข้ามาในเขตวัดมุขลินทอารามที่นี้ แม้ว่าเท้าหนึ่งอยู่ในเขตวัดอีกเท้าหนึ่งอยู่นอกเขตวัดก็ดี มีพระบรมราชโองการให้อภัยชีวิตแก่บุคคลเหล่านั้น ความผิดโทษถึงฆ่า จองจำ ตีโบย ก็อย่าได้ฆ่า จองจำ ตีโบย เพียงแต่ให้เอาข้าวตอกดอกไม้ ผึ้งเทียน คารวะแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วให้นำมาพิจารณาตามระบิลเมือง แล้วปรับสินไหม (ตามโทษานุโทษ) ครั้นเมื่อปรับไหมแล้วให้ใช้การงานตามฐานานุรูป นั่นคือ เป็นข้าทาสก็ใช้หน้าที่ทาส เป็นไพร่ก็ใช้หน้าที่ไพร่ เป็นคนมีฐานันดรก็ตามฐานันดรของผู้นั้น นี่คือพระบรมราชโองการประกาศไว้เช่นนี้ เพื่อให้เป็นประโยชน์ถาวรแก่พระศาสนา) จากเนื้อความในศิลาจารึกวัดมุจลินทอารามที่ยกไว้ข้างต้นนี้ เป็นเนื้อความจากพระบรมราชโองการ ฉะนั้นจึงมีความหมายมากเท่ากับกฎหมาย แต่ที่มีความหมายพิเศษกว่าก็คือ ได้ล้มล้างกฎหมายอาญาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ใช้กฎหมายตามประกาศนี้แทน (ใช้เฉพาะในเขตปลอดอาญาแผ่นดินเท่านั้น) จากการศึกษาเนื้อหาในศิลาจารึกอีสานสมัยไทย ? ลาว พบว่า ศิลาจารึกวัดบ้านริมท่าวัด ตำบลดงชน อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๑๗๙ โดยพระบรมราชโองการสมเด็จพระมหาพรหมเทโวโพธิสัตว์ (พระสุริยวงศ์ธิราช) มีเนื้อความในทำนองเดียวกันกับการประกาศเขตปลอดอาญาแผ่นดินเช่นกัน แต่เนื้อความบางตอนได้ขาดหายไปเพราะแผ่นศิลาจารึกชำรุด คงเหลือแต่ความว่า ?..(ชำรุด).. ให้อภัยชีวิตแก่สรรพสัตว์ อันมีในน้ำใน (ดิน)...(ชำรุด)...เขตแดนไร่นาย่านน้ำวังผาทั้งป่าอาราริกทั้งปวงฝูงนี้...(ชำรุด)...แต่สมเด็จพระโพธิสาลราชเจ้าเป็นเค้า สืบต่อมาเท่าสมเด็จพระมหาธรรมิกราชา วรวงศาธิราชเจ้า...?๒๙ จากเนื้อความที่เหลืออยู่พอจะอนุมานได้ว่า บริเวณริมฝั่งหนองหานด้านไหลลงสู่น้ำก่ำ ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองสกลนครเก่าในสมัยนั้น เป็นเขตปลอดอาญาแผ่นดินตามประกาศในศิลาจารึกหลักนี้ และที่สำคัญก็คือเรียกวัดบริเวณนั้นว่า ?วัดกลาง เมืองเชียงใหม่หนองหาน? ซึ่งเป็นหลักฐานว่าบริเวณดังกล่าวเป็นเมือง จึงมีวัดกลาง (คือกลางเมือง) และเรียกว่า เมืองเชียงใหม่หนองหานอีกด้วย นอกจากนี้ในการสอบถามท่านเจ้าคุณพระเทพรัตนโมลี (มรณภาพ พ.ศ. ๒๕๓๗) เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมฯ และเจ้าคณะจังหวัดนครพนม ท่านยังยืนยันว่า ในสมัยอดีตนั้น ในบริเวณวัดพระธาตุพนมน่าจะมีการประกาศเป็นเขตปลอดอาญาแผ่นดินเช่นกัน แต่ศิลาจารึกคงจะชำรุดเสียหายไป เพราะเหตุว่าในการปฏิบัติก็ยังถือกันว่าในบริเวณวัดนี้ไม่มีใครเป็นกรรมสิทธิ์สิ่งของทรัพย์สมบัติเพราะถือว่าเป็นศาสนสมบัติทั้งสิ้น ?แม้แต่วัวลากหวายความลากเชือก? เข้ามาในวัด ชาวบ้านก็ไม่กล้านำกลับไปเป็นกรรมสิทธิ์ของตน มักจะถวายเป็นสมบัติขององค์พระธาตุพนมทั้งสิ้น ในการศึกษาธรรมเนียมการประกาศเขตปลอดอาญาแผ่นดินในอาณาจักรล้านช้างนั้น ไม่สามารถจะตรวจสอบหลักฐานด้านศิลาจารึกในเวียงจันทน์และหลวงพระบางได้ ในขณะนี้จึงใช้พงศาวดารลาว ฉบับกระชวงสึกสาทิกานลาว พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นคู่มือในการศึกษาเรื่องดังกล่าว พบว่าธรรมเนียมการประกาศเขตวัดสำคัญ ๆ เป็นเขตปลอดอาญาแผ่นดินนั้นนิยมปฏิบัติสืบกันมาจนเป็นราชประเพณีตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าสามแสนไทย (พ.ศ. ๑๙๑๗ ? ๑๙๕๙) และส่วนใหญ่มักจะประกาศเขตปลอดอาญาแผ่นดินเนื่องในการเถลิงราชสมบัติ หรือเนื่องในการฉลองพระอารามหลวงที่สร้างเป็นอนุสรณ์ประจำรัชกาล เช่น ในสมัยพระเจ้าสามแสนไทยได้สร้างพระอารามาหลวงชื่อว่า ?วัดแก้ว? เสร็จบริบูรณ์แล้วก็พระราชทานครัวชาวเขมรให้เป็นคนอุปัฏฐากวัด (ข้าโอกาส) และทรงประกาศพระราชโองการประทานอภัยโทษแก่คนผู้กระทำผิดพระราชอาญา ซึ่งหนีเข้ามาอยู่ในวัดแก้วนั้นไม่ต้องรับโทษอาญาแผ่นดินเพียงมีแต่ดอกไม้ธูปเทียนมาขอขมาต่อสมเด็จพระมหาสวามีเจ้า (สังฆ ราช)๓๐ ส่วนในสมัยพระเจ้าไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้ว (พ.ศ. ๑๙๙๙ ? ๒๐๒๑) ได้ประกาศให้วัดมโนรมย์และวัดโบสถ์กลางเมืองเป็นเขตปลอดอาญาแผ่นดิน ซึ่งทั้งสองวัดนี้เป็นที่สถิตของพระสมุทโฆส๓๑ และพระมหาญาณคัมภีร์ตามลำดับ หลังจากนั้นก็มักจะพบว่ามีการประกาศเขตปลอดอาญาแผ่นดินเกือบทุกรัชกาล จนเป็นเสมือนราชประเพณีสืบต่อมา ฉะนั้นการที่พบว่า พระมหากษัตริย์แห่งล้านช้างได้สร้างศิลาจารึกประกาศเขตปลอดอาญาแผ่นดินที่พบในภาคอีสานนั้น แสดงว่าเป็นราชประเพณีที่ปฏิบัติสืบเนื่องกันต่อมา โดยพระมหากษัตริย์พระองค์นั้นได้ศรัทธาต่อพระเถระที่สถิตอยู่ในวัดสำคัญ ๆ มักจะประกาศพระบรมราชโองการให้วัดเหล่านั้นเป็นเขตปลอดอาญาแผ่นดิน ดังศิลาจารึกวัดมุจลินทอาราม ๑ (ขก. ๘) และศิลาจารึกวัดบ้านริมท่าวัด ดังกล่าวข้างต้นเป็นตัวอย่าง การที่พระมหากษัตริย์ล้านช้างมีพระบรมราชโองการประกาศเขตวัดสำคัญ ๆ เป็นเขตปลอดอาญาแผ่น ดินนั้น แสดงให้เห็นอำนาจของสถาบันศาสนาทัดเทียมกับฝ่ายอาณาจักรหรือเหนือกว่าเนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาประการหนึ่ง น่าจะเชื่อได้ว่าฝ่ายพุทธจักรนั้นได้กระทำประโยชน์ต่อฝ่ายอาณา จักรมาก รวมทั้งน่าจะมีพลังอำนาจในการเสนอความเห็นชอบในการสืบราชสมบัติอยู่ด้วย ดังตัวอย่างเช่น พระเจ้าฟ้างุ้มมีจริยวัตรไม่ถูกต้องตามคลองธรรม พวกเสนาอมาตย์ก็พร้อมใจกันบังคับให้พระองค์สละราชสมบัติ๓๒ ฉะนั้นน่าจะเชื่อว่ากลุ่มพระเถระสำคัญ ๆ มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังในการสืบราชสมบัติและควบคุมจริยวัตรของพระมหากษัตริย์แห่งล้านช้างไม่มากก็น้อย การประกาศเขตปลอดอาญาแผ่นดินนี้ ถ้าพิจารณาในเชิงจิตวิทยาแล้ว น่าจะเชื่อได้ว่าเป็นการให้ความเป็นธรรมแก่ปวงชนประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งให้ปวงประชาเห็นความสำคัญของสถาบันศาสนา เป็นการสร้างบุญคุณทั้งฝ่ายพระเถระและพระมหากษัตริย์ต่อบุคคลที่ต้องพระราชอาญา ซึ่งบุคคลดังกล่าวนี้เสมือนชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ ฉะนั้นบุคคลที่ต้องวิบัติในกฎหมายบ้านเมืองโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ย่อมมีโอกาสแก้ตัวใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยไม่ต้องรับโทษทัณฑ์เหมือนสังคมอื่น ๆ มีปัญหาว่า จารีตการประกาศเขตปลอดอาญาแผ่นดินที่นิยมกระทำกันในล้านช้างจนเป็นราชประเพณีนี้ ได้แนวความคิดมาจากไหน เนื่องจากในรัฐไทยอื่น ๆ (สุโขทัย อยุธยา ล้านนา) ในยุคสมัยเดียวกันก็ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน (ซึ่งอาจจะไม่มีจารีตเดียวกันนี้ก็ได้) ถึงแม้ว่าจะพบรัฐไทยอื่น ๆ มีคตินิยมในการถวายข้าโอกาสและนาจังหันให้แก่พระอารามสำคัญ ๆ บ้างตามที่กล่าวแล้วข้างต้น แต่กระนั้นก็ตามยังไม่พบหลักฐานพอที่จะเชื่อได้ว่ามีการประกาศเขตปลอดอาญาแผ่นดินไว้ชัดเจนว่า ส่วนในอาณาจักรล้านช้าง เราพบหลักฐานจำนวนมากจนเชื่อได้ว่าการประกาศเขตปลอดอาญาแผ่นดินนั้นเป็นจารีตที่พระมหากษัตริย์พึงปฏิบัติทุกพระองค์ ฉะนั้นเพื่อตอบปัญหานี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงศึกษาจารีตของพระมหากษัตริย์แห่งศรีลังกา อันเป็นต้นแบบธรรมเนียมต่าง ๆ ของพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทที่แพร่เข้าสู่ดินแดนเอเชียอาคเนย์ จากการตรวจสอบประชุมศิลาจารึกลังกาพบว่า ธรรมเนียมการประกาศเขตปลอดอาญาแผ่นดินในเขตวัดสำคัญ ๆ นั้น ได้ปรากฏหลักฐานชัดเจนในรัชสมัยพระเจ้ากัสสปที่ ๕ (พ.ศ. ๑๕๒๒ ? ๑๕๓๓) ซึ่งประกาศไว้ในศิลาจารึกอยิวิเควาวะ (Ayiviqevava Pillar-inscription) พบอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองอนุราธปุระไป ๒๕ ไมล์ มีความตอนท้ายกล่าวถึง ?ทรัพย์สิ่งของ วัว ควาย สรรพสัตว์ ผู้คนในบริเวณนี้ห้ามถือกรรมสิทธิ์และผู้ร้ายที่หนีเข้ามาอยู่ในเขตพุทธสถานนี้ห้ามจับกุม ประกาศนี้ให้ความคุ้มครองสรรพสิ่งข้างต้นทั้งมวล?๓๓ หลังจากนั้นก็พบศิลาจารึกในศรีลังกาที่มีใจความให้ความคุ้มครองผู้ร้ายที่หนีเข้าไปในเขตธรณีสงฆ์ที่พระมหากษัตริย์ได้อุทิศให้เป็นเขตอารามทุกสมัย จนถึงสมัยที่พระมหากษัตริย์หมดอำนาจ เมื่ออังกฤษเข้ามายึดครองเป็นเมืองขึ้น หัวข้อ: ๒. พุทธศาสนาภาคอีสานสมัยอิทธิพลราชธานีไทย เริ่มหัวข้อโดย: เต้ อุบล ที่ 12 มกราคม 2555, 21:57:12 ๒. พุทธศาสนาภาคอีสานสมัยอิทธิพลราชธานีไทย
ภาคอีสานทั้งหมดตกอยู่ใต้การปกครองพระราชอาณาจักรไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๒ คือเมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีขยายพระราชอาณาเขตไปยังภาคอีสานและลาว ได้ส่งกองทัพโดยมีเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ต่อมาได้ครองราชย์สมบัติ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ รัชกาลที่ ๑) เป็นแม่ทัพ ในครั้งนั้นได้อาณาจักรล้านช้าง (หลวงพระบาง เวียงจันทน์ และนครจำปาศักดิ์) และดินแดนในภาคอีสานทั้งหมด๓๔ ความจริงแล้ว อาณาจักรล้านช้างเริ่มมีความขัดแย้งกันระหว่างเจ้านายและช่วงชิงกันสืบราชสมบัติ หลังจากสิ้นรัชสมัยพระเจ้าสุริยวงศา (พ.ศ. ๒๑๗๖ ? ๒๒๓๓) จนกระทั่งแยกเป็น ๓ รัฐดังกล่าวแล้ว แต่กระนั้นก็ตามยังมีเจ้านายบางกลุ่มได้อพยพไพร่พลมาตั้งชุมชนในพื้นที่ภาคอีสานรวมกับชาวท้องถิ่นเดิม ดังจะเห็นได้จากกลุ่มพระวอพระตา (ตั้งเมืองอุบลราชธานีและเมืองยโสธร) กลุ่มท้าวสมพมิต (ตั้งเมืองกาฬสินธุ์) กลุ่มอาจารย์แก้วหรือเจ้าแก้วมงคล (ตั้งเมืองสุวรรณภูมิ ร้อยเอ็ด และเมืองใกล้เคียง) กลุ่มท้าวแล (ตั้งเมืองชัยภูมิ) เมืองดังกล่าวนั้นเริ่มเข้ามาสมัยกรุงธนบุรี และขอตั้งเป็นเมืองสมัยรัชกาลที่ ๑ ในฐานะเมืองขึ้นของราชธานีไทย (ยกเว้นเมืองชัยภูมิ ที่ขอตั้งเมืองในสมัยรัชกาลที่ ๒) หัวเมืองดังกล่าวได้เพิ่มชุมชนต่อมา และขอตั้งเมืองบริวารในสมัยรัชกาลที่ ๒ และรัชกาลที่ ๓ อีกจำนวนหนึ่ง แสดงว่าเจ้านายล้านช้างได้อพยพไพร่พลมาตั้งถิ่นฐานในภาคอีสานรวมกับชาวพื้นเมืองเดิมที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านช้างก่อนแล้ว ฉะนั้นขนบะรรมเนียมประเพณีรวมทั้งพุทธศาสนาก็สืบทอดโดยตรงมาจากล้านช้างนั่นเอง หาได้เปลี่ยนแปลงธรรมเนียมสงฆ์ตามราชธานีไทยไม่ ส่วนหัวเมืองภาคอีสานตอนล่างที่พระราชพงศาวดารเรียกว่า หัวเมืองเขมรป่าดง ได้แก่ เมืองขุขันธ์ (ศีรสะเกษ) เมืองสังขะ เมืองรัตนบุรี เมืองสุรินทร์ และเมืองบุรีรัมย์ ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตไทยตั้งแต่สมัยพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ) โดยเป็นเมืองบริวารของเมืองพิมายและเมืองนครราชสีมา ๒.๑ การทะนุบำรุงพุทธศาสนาของเจ้าเมืองท้องถิ่น ท้าวเพี้ยที่เป็นหัวหน้าพาไพร่พลอพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งในภาคอีสานนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าเมืองปกครองเมืองนั้น ๆ และมีอำนาจปกครองไพร่บ้านไทยเมืองตามธรรมเนียมที่ได้มาจากอาณาจักรล้านช้างที่เรียกว่า ระบบอาญาสี่ คือ เจ้าเมือง อุปฮาด (อุปราช) ราชวงศ์ ราชบุตร ท้าวเพี้ย ตามลำดับ คณะกรรมการเมืองมีหน้าที่จัดหาทรัพย์สินโภคทรัพย์เป็นค่าส่วยตามที่ราชธานีต้อง การก็เป็นการเพียงพอแล้ว และเดินทางไปส่งเครื่องราชบรรณาการ (ส่งส่วย) พร้อมกับดื่มน้ำสาบานประจำปี หรือปีละสองครั้งตามที่ราชธานีบัญชาไป ฉะนั้นเรื่องความสงบเรียบร้อยภายในหัวเมืองนั้น คณะกรมการเมืองมีอำนาจที่จะจัดการกันเอง เฉพาะการทะนุบำรุงพุทธศาสนานั้น เจ้าเมืองมักจะให้ความสำคัญกับพุทธศาสนาดังที่เคยปฏิบัติมาตามธรรมเนียมของล้านช้าง เพื่อใช้สถาบันศาสนาเป็นแหล่งกลางในการสั่งสอนอบรมให้ประชาชนยึดมั่นในศีลธรรม เพื่อให้บ้าน เมืองเกินสันติสุข คณะกรมการเมืองซึ่งเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอยู่แล้วจึงได้ใส่ใจยิ่งขึ้น จากการศึกษาพระพุทธศาสนาในภาคอีสานสมัยอิทธิพลราชธานีไทย จึงไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยอิทธิพลอาณาจักรล้านช้าง (พุทธศตวรรษที่ ๒๐ ? ๒๓) มากนัก ดังนี้ การอุทิศที่ดินนาจังหัน ข้าพระโยมสงฆ์ พบว่าการอุทิศที่ดินให้เป็นวิสุงคามสีมายังปรากฏอยู่โดยสม่ำ เสมอ เพราะเหตุว่าพระสงฆ์เถระมีความต้องการสถานที่ที่จะประกอบพิธีสังฆกรรม ซึ่งต้องเป็นสถานที่ที่อยู่นอกเขตอาณาจักร นั่นคือเจ้าเมืองต้องอุทิศสถานที่ไว้โดยชัดเจนให้เป็นธรณีสงฆ์ ที่เรียกว่า เขตวิสุงคามสีมา (เขตนอกหมู่บ้าน) จึงใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสังฆกรรมได้ ส่วนการอุทิศนาจังหันและข้าพระโยมสงฆ์นั้น พบว่าเจ้าเมืองท้องถิ่นได้กระทำกันอยู่บ้างแต่ไม่ได้สร้างศิลาจารึกประกาศไว้ชัดแจ้งเหมือนสมัยล้านช้าง ที่พบอยู่บ้างได้แก่ ?ศิลาจารึกวัดป่าใหญ่? ได้กล่าวถึงการอุทิศนาจังหัน บรรทัดที่ ๒๑-๒๔ ว่า ?...พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ได้สร้างวิหารอารามให้เป็นที่สถิตแก่พระพุทธรูปเจ้า จึงมีคำใส จึงประสาทให้ดินนาคือ ท่งเบื้องท้ายวัดนั้นเป็นทานแก่พระพุทธรูปเจ้าทางรีสุดท่ง ทางกว้างจุแดนดง คนผู้ใดผู้หนึ่งมาเฮ็ดนาในดินโอกาสที่นี้ ผิให้เกวียนหนึ่ง ให้เก็บค่าดินถังหนึ่ง สองเกวียนสองถัง ให้เก็บขึ้นตามคำสัญญาดังหลังนั้นเทอญ?๓๕ (อธิบายศัพท์ คำใส ? ความเลื่อมใส ท่ง ? ทุ่งนา ทางรี ? ด้านยาว จุ ? ถึง ดินโอกาส ? พื้นดินที่อุทิศ เอ็ดนา ? ทำนา) ในศิลาจารึกหลักเดียวกันนี้ได้มีการอุทิศข้าโอกาส (ข้าโอกาสคือคนรบใช้ประจำอาราม) ถวายแก่พระ พุทธรูปถึง ๒๓ คน มีทั้งชายหญิง และยังได้กล่าวห้ามเจ้าเมืองที่จะมาปกครองเมืองอุบลฯ ในอนาคต ห้ามใช้งานข้าโอกาสของพระพุทธรูปเหล่านี้ ?...พระยาตนใดมากินบ้านกินเมืองที่นี้ บ่ใช้เวียกบ้านเมืองแก่ข้าโอกาส ฝูงนี้ได้ชื่อว่าคบรบพระเจ้านัยหนึ่ง ชื่อว่าประกอบชอบธรรม พระยาตนใดมานั่งเมืองอันนี้ มาดูศิลาเลกอันนี้ รู้ว่าพุทธรูปมีข้อยโอกาสจึงบ่ใช้เวียกบ้านการเมือง...?๓๖ (อธิบายศัพท์ เวียก ? การงาน ข้าโอกาส ? ข้าพระโยมสงฆ์ หรือทาสวัด คบรบ ? เคารพ ศิสาเลก ? ศิลาจารึก ข้อย ? ข้าทาส เวียกบ้าน ? งานบ้านงานเมือง) แม้ว่าจะพบหลักฐานการอุทิศที่ดิน นาจังหัน และข้าโอกาสแก่วัด จำนวนน้อยเมืองเทียบกับศิลาจารึกที่พบในภาคอีสานที่สร้างสมัยอิทธิพลอาณาจักรล้านช้าง แต่ก็เป็นหลักฐานแสดงว่าเจ้าเมืองยังเป็นองค์ศาสนูป-ถัมภกต่อสถาบันศาสนาเหมือนสมัยอดีต แต่อาจจะลดหย่อนลงไปบ้างเพราะสภาพฐานะทางเศรษฐกิจไม่อำนวย เพราะต้องจัดหาโภคทรัพย์เพื่อส่งเป็นค่าส่วยต่อราชธานีไทยประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งสภาพสังคมไม่ใหญ่ โตมากนักจึงไม่มีทรัพย์สินจำนวนมากที่จะอุปถัมภ์วัดก็เป็นได้ ๒.๒ การเลื่อนสมณศักดิ์พระภิกษุสงฆ์ การจัดตำแหน่งสมณศักดิ์พระภิกษุสงฆ์ของชาวอีสานสมัยอิทธิพลราชธานีไทยนั้น ไม่ได้จัดทำเนียบตำแหน่งสมณศักดิ์ตามแบบพระสงฆ์ส่วนกลาง นั่นคือยังใช้สมณศักดิ์ตามแบบของอาณาจักรล้านช้างที่จัดทำเนียบสมณศักดิ์ไว้ดังนี้ (๑) สำเร็จ คือพระภิกษุหรือสามเณร ที่ได้รับเถราภิเษกฮดสรง ครั้งที่ ๑ (๒) ซา คือพระภิกษุหรือสามเณร ที่ได้รับเถราภิเษกฮดสรง ครั้งที่ ๒ (๓) คู (ครู) คือพระภิกษุหรือสามเณร ที่ได้รับเถราภิเษกฮดสรง ครั้งที่ ๓ (๔) คูหลักคำ หรือหัวครูหลักคำ คือพระภิกษุที่ได้รับเถราภิเษกฮดสรง ครั้งที่ ๔ (๕) คูลูกแก้ว หรือหัวคูลูกแก้ว คือพระภิกษุที่ได้รับเถราภิเษกฮดสรง ครั้งที่ ๕ (๖) คูยอดแก้ว หรือหัวคูยอดแก้ว คือพระภิกษุที่ได้รับเถราภิเษกฮดสรง ครั้งที่ ๖ เมื่อพระภิกษุสามเณรบวชเรียนไปได้ระยะหนึ่งจนสามารถท่องมนต์เจ็ดตำนาน สวดพระปาติโมกข์ เรียนภาษาบาลีถึงขั้นตอนหนึ่ง ๆ ชาวบ้านมัคนายกวัด เจ้าบ้านผ่านเมือง ก็จะจัดพิธีฮดสรงให้พระภิกษุสามเณรรูปนั้น ๆ เพื่อที่จะเลื่อนสมณศักดิ์ไปอีกระดับหนึ่ง แต่กระนั้นก็ตามพระสงฆ์สามเณรที่จะได้รับพิธีเถราภิเษกฮดสรงนั้น ต้องมีจริยวัตรอันดีงาม ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธา และต้องขยันหมั่นเพียรศึกษาพระธรรมวินัยและศึกษาคัมภีร์ได้ตามลำดับที่กำหนดไว้ จึงจะได้รับเลื่อนสมณศักดิ์ ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าสังคมจะควบคุมจริยวัตรของพระภิกษุสงฆ์ด้วย เพราะชาวบ้านมีความใกล้ชิดกับวัดจึงรู้ว่าพระภิกษุรูปใดมีจริยวัตรดีงาม และขยันหมั่นเพียรในการศึกษาพระธรรมวินัย สมควรแก่การเถราภิเษก ส่วนพระภิกษุที่นอกคอกประพฤติผิดพระวินัยเป็นอาจิณ ชาวบ้านจะรู้กันทั่วไปในสังคมเล็ก ๆ นั้น ฉะนั้นพระ ภิกษุรูปดังกล่าวจึงไม่ได้รับเถราภิเษกฮดสรงเพื่อเลื่อสมณศักดิ์ (ต่างกับปัจจุบัน ที่ส่วนกลางมีอำนาจเลื่อนสมณศักดิ์ แต่ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ชิดวัดรู้เห็นพฤติกรรมของพระสงฆ์อย่างดีไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการเลื่อนสมณศักดิ์ จึงพบว่ามีการผิดพลาดกันอยู่เนือง ๆ) ธรรมเนียมการเลื่อนสมณศักดิ์ของพระสงฆ์ โดยชาวบ้านมีส่วนรู้เห็นในการเถราภิเษกฮดสรงได้กระทำกันมาโดยต่อเนื่อง นับตั้งแต่สมัยอิทธิพลอาณาจักรล้านช้างและสมัยอิทธิพลราชธานีไทย จนถึงเมื่อสมัยปฏิรูปการปกครองหัวเมือง และได้ส่งข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลไปกำกับราชการตามหัวเมืองในภาคอีสาน ประกอบกับพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายได้แพร่เข้าไปยังมณฑลอุบลราชธานี สร้างวัดสุปัฏนารามเป็นอารามของพระ สงฆ์ธรรมยุติกนิกายที่จังหวัดอุบลราชธานีในครั้งนั้น จนถึง พ.ศ. ๒๔๕๖ พระราชมุนี (อ้วน ติสฺโส ซึ่งภายหลังได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมณศักดิ์เป็น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์) ได้มาดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลอุบลราชธานี เห็นว่าการเลื่อนสมณศักดิ์แบบธรรมเนียมภาคอีสานเริ่มฟั่นเฝือกันใหญ่ ชาวบ้านก็สามารถเลื่อนสมณศักดิ์พระภิกษุได้โดยไม่มีขอบเขตจำกัด เมื่อครั้งพระยาวิเศษสิงหนาท (ปิ๋ว บุนนาค) ผู้รั้งสมุหเทศาภิบาลมณฑลอุบาลราชธานี ฝ่ายคณะสงฆ์และฝ่ายกรรมการมณฑล ได้ประชุมปรึกษาเรื่องการบริหารและทำนุบำรุงกิจการพระศาสนาในมณฑลอุบลราช ธานี เมื่อวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๖ ณ ศาลากลางมณฑล สรุปว่า ?ตามข้อประกาศนี้ (ประกาศเถราภิเษกฮดสรง) ได้ความว่าเป็นของครั้งเจ้าผู้ครองเวียงจันทน์ทำขึ้นไว้สำหรับเป็นประเพณีแต่งตั้งสมณศักดิ์และพร้อมด้วยเจ้าครองเวียงจันทน์รู้เห็นด้วย แต่ชาวเราไปเก็บเอามาใช้จนฟั่นเฝือ ถึงราษฎรโดยมากก็แต่งตั้งสมณศักดิ์ได้โดยความเข้าใจผิด ที่คิดห้ามเสียคราวนี้ ก็เป็นการสมควรมาก?๓๗ นับแต่นั้นมาธรรมเนียมเถราภิเษกเลื่อนสมณศักดิ์แบบล้านช้างก็เลิกไป และมณฑลอื่น ๆ ในภาคอีสานก็ใช้ประกาศของมณฑลอุบลราชธานี ยกเลิกตำแหน่งสมณศักดิ์แบบจารีต และการแต่งตั้งสมณศักดิ์จากส่วนกลางก็ได้นำไปในภาคอีสานสืบต่อมา หัวข้อ: ๓. พุทธศาสนาภาคอีสานสมัยรัชกาลที่ ๕ ? สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เริ่มหัวข้อโดย: เต้ อุบล ที่ 12 มกราคม 2555, 21:57:46 ๓. พุทธศาสนาภาคอีสานสมัยรัชกาลที่ ๕ ? สมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา ประเทศไทยได้พัฒนาสังคมเข้าสู่สมัยใหม่ มีการเลิกจารีตดั้งเดิมที่ล้าสมัย เช่น การเลิกทาส การจัดระบบการปกครองเป็นกระทรวง ทบวง กรม และมีการจัดตั้งโรงเรียนสมัยใหม่ ซึ่งแต่เดิมนั้นคนไทยเรียนหนังสือจากวัด ไม่มีหลักสูตร นั่นคือต่างสำนักต่างสอน เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้จัดตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรให้บุตรหลานชาวบ้านได้เล่าเรียนตามหลักสูตรสมัยใหม่ที่โรงเรียนวัดมหรรณพารามเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ เป็นต้นมา และได้ตั้งกรมศึกษาธิการมีหน้าที่จัดการ ศึกษาระบบโรงเรียนใน พ.ศ. ๒๔๓๐ เป็นต้นมา และสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมศึกษาธิการ ท่านได้พยายามที่จะขยายโรงเรียนสมัยใหม่ไปสู่ภูมิภาค ในครั้งนั้นมณฑลอุบลราชธานี ซึ่งมีพระเถระได้ไปศึกษาหนังสือไทยที่กรุงเทพฯ จำนวนหนึ่ง (แต่เดิมพระสงฆ์ภาคอีสานจะใช้อักษรตัวธรรมในการจดบันทึกพระธรรมคัมภีร์ และใช้อักษรไทยน้อยจดบันทึกเรื่องราวทั่วไป) จึงโปรดเกล้าฯ ให้มาตั้งโรงเรียนหนังสือไทยโดยใช้หลักสูตรของมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งเรียนทั้งภาษาบาลีและเรียนหนังสือไทย และแต่งตั้งให้พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) เป็นผู้อำนวยการจัดการศึกษาหนังสือไทยตลอดมณฑลอุบลราชธานีเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๑ ในครั้งนั้นได้ตั้งโรงเรียนอุบลวิทยาคมในวัดสุปัฏนาราม และโรงเรียนอุดมวิทยากรที่อำเภอพนา ถือว่าทั้งสองโรงเรียนได้เป็นแหล่งสอนหนังสือไทยในภาคอีสานครั้งแรก การได้เรียนหนังสือไทยเป็นหนทางก้าวหน้ารับราชการได้ และได้เรียนภาษาบาลี หากเป็นพระภิกษุสามเณรจะได้ประโยคเปรียญธรรม (ปธ. ๓ ? ปธ. ๙) จึงเป็นแนวทางที่จะได้ก้าวหน้าในอนาคต บรรดาพระภิกษุสามเณรก็มักจะเลิกเรียนอักษรท้องถิ่น (อักษรตัวธรรม และอักษรไทยน้อย) มาเรียนอักษรไทยมากขึ้น ภายหลังโรงเรียนอักษรไทยก็ขยายไปทั่วทุกหัวเมือง กุลบุตรลูกหลานชาวบ้านและเจ้านายรวมทั้งพระภิกษุสามเณรนิยมเรียนโรงเรียนหนังสือไทยมากขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ พระภิกษุสามเณรที่เรียนหนังสือไทยจบประโยคต้นในท้องถิ่นแล้ว มักจะเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนหนังสือไทยต่อในสำนักเรียนที่กรุงเทพฯ ฉะนั้นธรรมเนียมสงฆ์ท้องถิ่นจึงถูกละเลยที่จะประพฤติปฏิบัติ กันโดยปริยาย และนำธรรมเนียมสงฆ์ส่วนกลางไปปฏิบัติกันทั่วไป ตามทัศนะที่เห็นว่าเป็นเรื่องทันสมัยเหมาะสมกับยุคสมัย นอกจากนี้ทางราชการก็สนับสนุนพระสงฆ์ที่เรียนรู้หนังสือไทยได้รับการแต่งตั้งสมณศักดิ์ในระดับสูง ๆ การตื่นตัวของพระสงฆ์ในภาคอีสานที่เล่าเรียนหนังสือไทยในสมัยนั้นเป็นปัจจัยสำคัญในการเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมสงฆ์ท้องถิ่น ประกอบกับเจ้านาย ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ถูกส่งไปจากราชธานีให้ปกครองตามหัวเมืองภาคอีสานมากขึ้น พระสงฆ์ที่เรียนรู้หนังสือไทยได้รับความเคารพนับถือจากข้าราชการชั้นผู้ใหญ่และชาวบ้านโดยทั่วไป ฉะนั้นธรรมเนียมสงฆ์ท้องถิ่นจึงถูกละเลยโดยปริยาย ครั้งเมื่อพระราชมุนี (อ้วน ติสฺโส ภายหลังได้รับสมณศักดิ์เป็น สมเด็จพระมหาวีรวงศ์) เป็นเจ้าคณะมณฑลอุบลราชธานี และได้พยายามเสนอให้ พระยาวิเศษสิงหนาท (ปิ๋ว บุนนาค) ผู้รั้งสมุหเทศาภิบาลมณฑลอุบลราชธานี ได้ประกาศยกเลิกธรรมเนียมสมณศักดิ์ท้องถิ่น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖ ดังกล่าวแล้ว ฉะนั้น พระสงฆ์ในภาคอีสานจึงยอมรับการเปลี่ยนธรรมเนียมสงฆ์ตามระบบสงฆ์ส่วนกลางแบบค่อยเป็นค่อยไปเสมอมา จนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ สมเด็จพระสังฆราช โดยมติของสังฆมนตรีได้ตราสังฆาณัติและระเบียบพระคณาธิการ ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ (ระเบียบการปกครองสงฆ์) การประกาศใช้สังฆาณัติครั้งนี้เป็นการจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ทั่วประเทศ ให้อยู่ในระบบเดียวกัน หัวข้อ: เอกสารอ้างอิง เริ่มหัวข้อโดย: เต้ อุบล ที่ 12 มกราคม 2555, 21:58:24 เอกสารอ้างอิง
๑ กฎหมายอยุธยาบางฉบับตราเมื่อเริ่มตั้งอยุธยา หรือก่อน เช่น กฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. ๑๘๘๔ กฎหมายลักษณะลักพา ประกาศใช้เมื่อ พ.ศ. ๑๘๙๙ (กฎหมายตราสามดวง (ฉบับโรงพิมพ์คุรุสภา) เล่ม ๓ หน้า ๙๔-๑๘๓ และหน้า ๑-๓๐ ตามลำดับ) ๒ เลขที่ ๓๙-๒ (อักษรลาว) ตู้ ๑๐๘ ชั้น ๑/๔ มัด ๙๒ (งานหนังสือตัวเขียนหอสมุดแห่งชาติ) มีเนื้อความเหมือนกับกฎหมายโคสาราช (สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ๒๕๒๖) ๓ ดูรายละเอียดใน อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว. การวิเคราะห์สังคมเชียงใหม่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นตามฉบับใบลานภาคเหนือ. (วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๑๙) หน้า ๔๓. ถิ่น รัตกนก, (ถอดความ) กฎหมายโคสารราษฎร์ (สถาบันวิจัยสังคมฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ๒๕๑๖ หน้าคำนำ) ๔ ประชาชนที่อยู่ในเขตนาจังหันที่พระมหากษัตริย์อุทิศให้แก่วัดนั้น ไม่ต้องเสียภาษีอากรให้แก่รัฐ แต่เสียภาษีอากรให้แก่วัดแทน ดังอย่างศิลาจารึกวัดสรศักดิ์ หลักที่ ๙ ก. นายสรศักดิ์ได้ขอพระราชทานอากรจากนา (จังหัน) เพื่อถวายวัด ดูรายละเอียดในจารึกสมัยสุโขทัย (กรมศิลปากร, พิมพ์เนื่องในงานฉลอง ๗๐๐ ปี ลายสือไทย ๒๕๒๖) หน้า ๑๒๘-๑๓๔. ๕ เป็นตำแหน่งผู้ดูแลกิจการของวัด ในจารึกวัดสรศักดิ์ (หลักที่ ๙) เรียกว่า ?นายสังฆการี? ซึ่งมีหน้าที่รับสนองพระราชโองการด้วย (ดูจารึกสมัยสุโขทัย, กรมศิลปากร, ๒๕๒๖, หน้า ๑๓๐.) ๖ ในจารึกวัดแดนเมือง ๒ ว่า ?ในการเก็บพืชผลในเขตวัด ให้สังฆการีร่วมกับคนเมืองเก็บ และสิบกกให้เก็บไว้กับพระภิกษุกกหนึ่ง? ส่วนจารึกวัดจอมมณีว่า ?นากับอารามเป็นข้าวร้อยหนึ่งเอาหน่วยหนึ่ง? ๗ ศิลาจารึกวัดจอมมณี บรรทัดที่ ๑๕-๑๗ ๘ ศิลาจารึกวัดศรีเมือง บรรทัดที่ ๒๘-๓๐ ๙ ศิลาจารึกวัดมุจลินทร์ (ข.ก. ๘) ด้านที่ ๒ บรรทัดที่ ๗-๘ ๑๐ ดูรายละเอียดใน จารึกสมัยสุโขทัย, (กรมศิลปากรจัดพิมพ์เนื่องในโอกาสฉลอง ๗๐๐ ปีลายสือไทย ๒๕๒๖) หน้า ๗๒ ? ๗๓. ๑๑ เรื่องเดียวกัน หน้า ๑๑๓ ? ๑๑๔. ข้อสังเกตข้าโอกาสแต่งงานจะได้เป็นไทยและมีหน้าที่เลี้ยงดูแม่ฝ่ายชาย ๑๒ เรื่องเดียวกัน หน้า ๑๔๓ ๑๓ ศิลาจารึกวัดอโศการาม พระราชเทพีศรีจุฬาลักษณ์ฯ (ชายาสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราช) ได้อุทิศข้าโอกาส ๕๐ เรือน นาข้าวที่ได้ข้าวปีละ ๒๕ เกวียนแก่วัดอโศการาม ส่วนศิลาจารึกวัดเขมานั้น พระยาศรีธรรมาโศกราช อุทิศนา ๒๐ ไร่ และบาผ้าขาวเทพอุทิศอำแดงยอด (เมีย) อำแดงยศ (น้อง) และอีบุนรัก (ลูก) ไว้เป็นข้าโอกาสปรนนิบัติพระสงฆ์ ๑๔ ดูรายละเอียดในการสร้างวัดป่ามะม่วงต้อนรับพระมหาสวามีสังฆราช จากนครพัน (ศิลาจารึกหลักที่ ๔) จารึกสมัยสุโขทัย, ๒๕๒๖, หน้า ๒๒๒ ? ๒๓๕. ๑๕ เรื่องเดียวกัน หน้า ๒๔ ? ๒๕. ๑๖ ดูรายละเอียดใน ศิลาจารึกคำปู่สบถ (หลักที่ ๖๔) และศิลาจารึกปู่ขุนจิตขุนจอด (หลักที่ ๔๕) พ.ศ. ๑๙๓๕ จะเห็นว่าเจ้าเมืองนันทบุรี (น่าน) และกษัตริย์สุโขทัย เป็นเครือญาติกัน ๑๗ ดูรายละเอียดใน ?ศิลาจารึกกษัตริย์ราชวงศ์มังราย ลพ.๙? ในวารสารศิลปากร ปีที่ ๒๔ เล่มที่ ๒ เดือนพฤษภาคม ๒๕๒๓ หน้า ๔๒ ? ๕๑. ๑๘ ธรรมเนียมของประเทศลังกาจะอุทิศจนกว่าพระอาทิตย์พระจันทร์ไม่ส่องแสง ดูในประชุมศิลาจารึกศรีลังกา Epigraphia Zeylanica Vol.1 (Reprited by Aitken Spence Co., Ltd., Colombo, 1976) PP. 192 ? 200. ๑๙ ในลังกาไม่เพียงแต่จะสาปแช่งให้ตกนรกอเวจีแล้ว ยังสาปแช่งให้เกิดเป็นหมาเป็นกา ดูเรื่องเดียวกัน หน้า ๑๙๒ ? ๒๐๐. ๒๐ เจ้าชายมุย เจ้าเมืองปากห้วยหลวง และได้ไปปกครองเมืองเวียงจันทน์ซึ่งเป็นหัวเมืองสำคัญรองจากเมืองหลวงพระบาง พ.ศ. ๑๙๙๙ ? ๒๐๒๑. ๒๑ จารึกสมัยสุโขทัย (กรมศิลปากรจัดพิมพ์เนื่องในโอกาสฉลอง ๗๐๐ ปีลายสือไทย ๒๕๒๖), หน้า ๓๑๙ ? ๓๓๔. ๒๒ เรื่องเดียวกัน หน้า ๑๒๘ ? ๑๓๔. ในศิลาจารึกวัดสรศักดิ์ ได้ให้รายละเอียดไว้ว่า นากับมหาเจดีย์บ้าง นากับมหาวิหารบ้าง นาจังหันบ้าง นากับหอพระบ้าง นากับพระเจ้าหย่อยตีน (พระพุทธรูปนั่งห้อยพระบาท ปางป่าเลไลย์) นากับเจ้าจงกรมในจาริก (พระพุทธรูปปางลีลา) บ้าง แสดงให้เห็นถึงสัดส่วนของภาษีที่จะใช้บำรุงศาสนสถานแลศาสนวัตถุซึ่งเจ้าศรัทธาได้จัดสัดส่วนไว้แล้ว ๒๓ ประสาน บุญประคออง และเทิม มีเต็ม ?ศิลาจารึกกษัตริย์ราชวงศ์มังราย ลพ.๙? วารสารศิลปากร, ปีที่ ๒๔ เล่มที่ ๒ เดือนพฤษภาคม ๒๕๒๓, หน้า ๔๒ ? ๕๑. ๒๔ ศิลาจารึกคชพาหุ พ.ศ. ๗๒๐ ? ๗๔๔ กล่าวถึงกษัตริย์ ?คชพาหุ คามณีอภัย? สร้างสระน้ำและให้ที่ดินแก่ชุมชนสงฆ์ ดุประชุมศิลาจารึกศรีลังกา Vol. 1 (เรื่องเดียวกัน) หน้า ๒๑๑. ๒๕ ความเห็นของ Prof. Rohana Deera มหาวิทยาลัยชัยวัฒนปุระ แห่งประเทศศรีลังกา สัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๔ - ๕ กรกฎาคม ๒๕๒๙ ๒๖ กรมศิลปากร, ประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๒ (โครงการส่งเสริมหนังสือตามแนวพระราชดำริ, ๒๕๒๖) หน้า ๑๖ ? ๑๗. ๒๗ การอุทิศนาจังหันให้วัดของกษัตริย์อยุธยาจะทำให้ยากมาก เพราะขัดกับระบบศักดินาของอยุธยาที่กำหนดให้ไพร่ทุกคนสังกัดมูลนาย ซึ่งกฎหมายนี้ใช้ตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ๒๘ ดูรายละเอียดใน ?ศิลาจารึกวัดมุจลินทอาราม? ใน ธวัช ปุณโณทก. ศิลาจารึกอีสานาสมัยไทย ? ลาว : การศึกษาด้านอักขรวิทยาและประวัติศาสตร์. (โรงพิมพ์คุณพินอักษรกิจ, ๒๕๓๑) หน้า ๒๘๙ ? ๒๙๐. ๒๙ ดูรายละเอียดในศิลาจารึกวัดบ้านริมท่าวัด ตำบลดงชน อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร เรื่องเดียวกัน หน้า ๓๑๗ ? ๓๒๐. ๓๐ พงศาวดารลาว ฉบับกระทรวงศึกษาธิการลาว (ไม่ปรากฏโรงพิมพ์, ๒๕๐๐) หน้า ๗๙. ๓๑ พระสมุทโฆส เป็นพระเถระสำคัญที่ประพันธ์เรื่องขุนบรม (ตอนต้น) ๓๒ เรื่องเดียวกัน หน้า ๗๖. ๓๓ ดูรายละเอียดในประชุมศิลาจารึกศรีลังกา (Epigraphia Zeylanica, Vol. 2 Oxford University Press, 1928) pp. 38. ๓๔ พงศาวดารย่อเมืองเวียงจันทน์ว่า ?ศักราช ๑๔๑ (พ.ศ. ๒๓๒๒) ปีกัดไค้ (ปีกุน) เดือน ๑๑ แรม ๓ ค่ำ วันจันทร์ แตกเศิกไทยวันนั้น? (ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๗๐. โรงพิมพ์พระจันทร์. พ.ศ. ๒๔๘๔. หน้า ๑๘๙.) ๓๕ ศิลาจารึกวัดป่าใหญ่ ๒ ในธวัช ปุณโณทก, ศิลาจารึกอีสานสมัยไทย ? ลาว : การศึกษาทางด้านอักขรวิทยาและประวัติศาสตร์อีสาน. (โรงพิมพ์คุณพินอักษรกิจ. พ.ศ. ๒๕๓๑) หน้า ๓๗๔ ? ๓๗๕. ๓๖ เรื่องเดียวกัน หน้า ๓๗๔ ๓๗ เติม วิภาคย์พจนกิจ. ประวัติศาสตร์อีสาน. สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. พ.ศ. ๒๕๓๐, หน้า ๕๙๑. ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://blog.eduzones.com/tambralinga/15424 |