หัวข้อ: ปรามาจารย์ธรรมผุก อุณาภาค บ้านสว่าง จังหวัดอำนาจเจริญ เริ่มหัวข้อโดย: คมขวาน ที่ 19 ธันวาคม 2554, 10:17:09 เรื่องของอาจารย์ปู่ คำผุก อุนาภาค
ปู่คำผุก เป็นชาวบ้านท่าสว่าง เกิดที่นั่น โตที่นั่น และมีเรื่องราวชวนอัศจรรย์อยู่ที่นั่น เมื่อแรกเกิดเป็นคนปกติเช่นเด็กทั่วไป แต่พอเริ่มรู้ภาษารู้จักความ เกิดอาการป่วยจนถึงกับทำให้ตาบอดสนิททั้งสองข้าง กลายเป็นภาระให้พ่อแม่เลี้ยงดูอย่างยากลำบาก พ่อแม่ได้นำตัวปู่คำผุกไปถวายวัด โยนภาระให้วัด ซึ่งวัดก็รับไว้ด้วยเมตตาสงสาร อยู่วัดไม่นาน หลวงพ่อเจ้าอาวาสให้บรรพชาเป็นสามเณร ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมไปตามอัตภาพ หลายปีต่อมา ปู่คำผุกเติบใหญ่ขึ้น กลายเป็นสามเณรโข่งตาบอดที่นึกอยากจะได้วิชาคาถาเพื่อพัฒนาตน อยากหาความรู้ใส่ตัวพอให้ได้ช่วยสร้างประโยชน์ตนประโยชน์ท่านกับเขาบ้าง เวลานั้นปู่คำผุกได้ยินกิตติศัพท์ว่าอาจารย์สิงห์ บ้านคึม มีวิชาดี โดยเฉพาะวิชาอ้อน้ำไหล ถ้าได้ใครเรียนจนสำเร็จจะเล่นจะร้องจะลำอะไรคนมักติด ปู่คำผุกอยากเรียนเป็นอันมาก หวังว่าจะได้เอาวิชานี้มาใช้สำหรับการเทศน์ ตัวอาจารย์สิงห์เองเคยบวชเป็นพระมาก่อน สึกออกมาหาเลี้ยงตนและครอบครัวด้วยวิชาอาคมอยู่นานปี หลังๆประสพความลำบาก ด้วยชาวบ้านพากันเห็นว่าอาจารย์สิงห์เป็นปอบ เลยพาลขับไล่ให้ออกไปอยู่นอกเขตหมู่บ้านตามลำพังกับครอบครัวของตน เรื่องที่เขาลือกันว่าอาจารย์สิงห์เป็นปอบนั้น ปู่คำผุกทราบดี แต่ไม่กลัว ปู่คำผุกได้กราบขออนุญาตหลวงพ่อเจ้าอาวาสให้ช่วยพาไปหา แต่หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็ผัดผ่อนเรื่อยมา ไม่พาไปสักที ในที่สุดก็หันไปพึ่งหลวงพี่รูปหนึ่ง ซึ่งมีเมตตาต่อปู่คำผุกมากกว่าผู้ใด หลวงพี่รูปนั้นอาสาพาไปจนพบตัวอาจารย์สิงห์ พบแล้วก็ทิ้งปู่คำผุกไว้กับอาจารย์สิงห์ ส่วนหลวงพี่อาจเกรงกลัวอาจารย์สิงห์จึงขอกลับวัดไม่อยู่ด้วย เมื่อพบกันแล้วอาจารย์สิงห์รับปากว่าจะสอนให้ไม่หวงวิชา ให้ปู่คำผุกพักผ่อนหลับนอนที่บ้านของอาจารย์สิงห์สักคืน พอให้หายเหนื่อย แล้วค่อยเรียนทีหลัง ระหว่างนั้นอาจารย์สิงห์ได้บอกว่า อยากจะให้ปู่คำผุกดูอะไรสักอย่างหนึ่ง จึงลุกขึ้นไปฉวยเอาพานเก่าๆที่วางอยู่บนหิ้งพระออกมา ในพานมีห่อผ้าขาว ข้างในห่อผ้าเป็นแผ่นจารอักขระทองคำโบราณ ไม่ทราบว่าเป็นของใครสมัยใด ตัวอักขระเป็นภาษาที่อาจารย์สิงห์อ่านไม่ออก เคยให้ผู้รู้ในศาสตร์วิชาภาษามากมายหลายคนช่วยอ่าน ก็ไม่สามารถอ่านได้ ไม่ทราบว่าเป็นภาษาอะไร เมื่อส่งแผ่นจารทองคำให้ปู่คำผุกรับไปถือไว้ในมือ เหตุอัศจรรย์พลันอุบัติขึ้น ฟ้าผ่าเปรี้ยงเสียงสนั่นลั่นโดยพลัน ผ่าลงมาแถวๆนั้น เป็นฟ้าผ่ากลางแดดที่ผิดธรรมชาติ ผ่าโดยไม่มีเมฆฝน ผ่าลงมากลางไอร้อนของแดดแผดจ้า แรงกระเทือนของฟ้าที่ผ่า ถึงทำเอาปู่คำผุกสลบเหมือด หลังจากฟื้นขึ้นมา เรื่องแปลกประหลาดทีใครก็คาดไม่ถึง ก็เกิดขึ้นด้วย ปู่คำผุกเปลี่ยนกลายไปเป็นคนละคน ปู่คำผุกได้เรียกเอาแผ่นจารทองคำนั้นมาถือไว้ในมืออีกครั้ง แล้วบอกว่า แผ่นจารนี้เป็นของปู่คำผุกทำไว้เป็นร้อยชาติมาแล้ว ถ้อยคำที่เขียนไว้ในนี้เป็นเสมือนคำสาปแช่ง ผู้ใดครอบครองไว้จะต้องได้ยาก จะตกทุกข์ลำบากแสนเข็ญตลอดชีวิต หลังจากนั้นก็อ่านและแปลข้อความในแผ่นจารให้อาจารย์สิงห์ฟัง อย่างคล่องแคล่วชำนาญปานโกหก นอกจากนี้ปู่คำผุกยังย้ำยังสั่งอีกว่า ให้อาจารย์สิงห์เอาแผ่นจารนี้ไปคืนไว้ที่เก่า หรือเอาไปฝังไว้ฝังไว้ในโบสถ์ ถ้าทำตามนี้แล้ว ชีวิตที่เปี่ยมทุกข์ของอาจารย์สิงห์จะกลับเป็นสุขดังเดิม จากนั้นก็ลุกขึ้นจะกลับวัด "อ้าว..เณร จะไม่เรียนอ้อน้ำไหลแล้วหรือไร" อาจารย์สิงห์เอะอะ "ไม่เรียน..เฮารู้หมดแล้ว" อาจารย์คำผุกตอบอย่างไม่ใยดี นี่เป็นเรื่องแปลก ที่อาจารย์สิงห์เห็นว่าไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา ชะรอยจะเป็นเหตุอัศจรรย์อะไรสักอย่างที่ยังไม่ทราบแน่ชัด ยังสรุปไม่ได้ จึงหาทางทัดทานปู่คำผุกไว้ก่อนไม่ยอมให้กลับ "นี่ก็จวนมืดแล้ว ขอให้เณรพักที่นี่สักคืนตามที่ข้าน้อยตั้งใจแต่แรกเถอะ พรุ่งนี้จะกลับก็ไม่ว่า" ปู่คำผุกขัดไม่ได้จึงยอมพักค้างคืนที่บ้านตามคำร้องขอของอาจารย์สิงห์ ระหว่างนั้นพวกชาวบ้านเริ่มระแคะระคายเหตุการณ์ฟ้าผ่าบ้านอาจารย์สิงห์จึงชวนกันมาดู เล่าเรื่องจารย์ปู่คำผุกต่ออีกหน่อย ชาวบ้านจำนวนมากพอสมควรรวมตัวอยู่ที่บ้านอาจารย์สิงห์ หุงหาข้าวปลากินกันปานงานบุญเล็กๆ พอจะเปรียบได้กับเลี้ยงข้าวปุ้น(ขนมจีน)ผีแม่ม่ายเช่นทุกวันนี้ คืนนั้นจารย์ปู่คำผุกเข้าพักในห้องที่ภรรยาอาจารย์สิงห์จัดให้ตามลำพัง ตกดึกก็เกิดเหตุประหลาด มีแสงสว่างปรากฏอยู่ในห้อง ถึงกับมีลำแสงลอดออกมาตามร่องตามรูกระดานหรือแม้แต่ช่องลม สมัยนั้นบ่มีไฟฟ้าใช้เน้อ อาจารย์สิงห์อดรนทนไม่ได้ ย่องเข้าไปแอบดูผ่านรูไม้ฝาห้องเข้าไป พอเห็นเท่านั้นถึงกับผงะ และมีอันรีบแจ้นลงไปป่าวประกาศกับหมู่ชาวบ้าน ให้พากันแอบดูบ้าง ภาพที่ปรากฏคือ ไม่มีใครเห็นเป็นรูปเป็นตัวจารย์ปู่คำผุก เห็นเป็นเพียงดวงไฟสว่างเรืองรอง คล้ายหลอดนีออนอย่างเช่นปัจจุบัน รุ่งเช้าอาจารย์สิงห์แสร้งถามว่า "เมื่อคืนฝันดีไหมเณร" "ฝันดีหลาย" "ฝันไงล่ะ" "ฝันว่าตัวเจ้าของเอง เอาลิ้นเลียขอบจักรวาล" พอตกสายหลังอาหารเช้าแล้ว จารย์ปู่คำผุกก็ลงจากเรือน เดินดุ่มออกไป จะกลับวัด แปลกที่ว่าไม่ต้องให้ใครจูงอีกแล้ว เดินไปเองได้เหมือนคนตาดี เชื่อหรือไม่ หลังจากนี้มา จารย์ปู่คำผุกแม้บอด กลับเห็นทุกอย่างได้เฉกเช่นคนปกติ บางทีจะเห็นได้ลึกซึ้งกว่าด้วยซ้ำ คนตาบอดมาแต่เล็ก เป็นภาระให้พ่อแม่ จนถึงกับผลักไสลูกชายตาบอดให้วัดรับภาระนั้น ใครจะไปเชื่อว่าบัดนี้จารย์ปู่คำผุกหาได้เป็นภาระของใครไม่ ผู้ที่มีชีวิตทันร่วมชีวิตของจารย์ปู่คำผุกอธิบายถึงเรื่องการมองเห็นไว้ดังนี้ จะว่าท่านมองเห็นเหมือนคนตาดีเสียทีเดียวก็ไม่ใช่ หากแต่สามารถไปไหนมาไหนได้ตามปกติ ไม่อาศัยใครจูง ที่แปลกมากเมื่อการมองเห็นอย่างแจ่มชัดแสดงผล คนก็อัศจรรย์ใจกันทั้งบ้านทั้งเมือง อย่างเช่นมีผู้นำผ้าแพรมาเป็นของกำนัลจารย์ปู่คำผุก ท่านรับผ้ามาไว้ในมือแล้วร้องทักโดยพลัน "โฮ้..คืองามแท้ สีฟ้าใส บ่มีแป้วมีแมง" (โอ้โฮ..สวยจัง ผ้าสีฟ้าสด ไร้มลทิน) หรือแม้แต่มีใครมีธุระหรือเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ เดินทางมาหา จะพระหรือโยม ท่านรู้จักหมด ร้องทักไปก่อนแล้ว "เอ้า..เชิญๆพ่อใหญ่ ขึ้นมาบนเฮือนเลย" "นมัสการครูบา..นิมนต์ข้างบนเลยข้าน้อย" ท่านรู้เห็นสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร ต่อมาจารย์ปู่คำผุกได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อายุครบถ้วนตามพระวินัย และยังคงอาศัยอยู่ที่วัดเดิมต่อไป ไม่ไปไหนอีกเลย จนกระทั่งถึงวันสึกออกจากพระ ระหว่างที่เป็นพระนั้น จารย์ปู่คำผุกปรากฏชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ มีสานุศิษย์เลื่อมใสนับถือไม่น้อย มีอยู่พรรษาหนึ่ง ท่านเลือกพลานหินเหมาะๆบนเขา(ไม่ทราบพิกัด) ลงนั่งภาวนาอยู่ตรงนั้นตลอดวันและคืนไม่ลุกไปไหน ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกหรือน้ำค้างลง นี่ช่างชวนให้นึกถึงหลวงพ่อเกษม สุสานไตรลักษณ์ คราวที่นั่งบำเพ็ญกลางแจ้ง เพื่อไถ่โทษถอนสาปแช่งของเจ้าแม่สุชาดา แม้จะต่างบุคคลต่างวาระและสถานที่ บรรยากาศการบำเพ็ญเพียรแบบนี้ควรจะคล้ายๆกัน โหดเอาการ(อัตตกิลมถานุโยคแท้ๆ) ครบพรรษาท่านจึงลุกขึ้นเดินออกจากพลานหินนั้น ประกาศแก่ชาวบ้านแลสานุศิษย์ "เฮาจะสึก" โยมพี่ชายถึงกับงงๆ "สึกทำไม" "สึกออกไปเอาเมีย" "โฮ้..ตาบอดแบบนี้ยังไม่เจียม จะมีหมาที่ไหนมาเอาน้อ" "จะมีมาให้เฮาเลือก2คน มากันเองด้วย" "โม้.." หลังจากสึกออกมาเป็นฆราวาสแล้ว ราวๆ3วันต่อมา มีหญิงสาว2คนเดินทางมาพบจารย์ปู่คำผุกจริงๆ แจ้งความประสงค์จะขอเป็นเมีย จารย์ปู่พิจารณาเลือกคนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดชื่อว่า"แม่อ่ำ" ท่านว่าแม่อ่ำเป็นคู่เก่ามาแต่กาลก่อน ทั้งบุญยังมีถึงกัน ส่วนอีกคนที่ไม่เลือก ก็ใช่ เสียแต่บุญที่หล่อนสร้างมานั้น ไม่ถึงขั้นจะได้อยู่ร่วมกันในชาตินี้ หญิงซึ่งจารย์ปู่คำผุกปฏิเสธ ถึงกับเป็นลมล้มพับไปด้วยความเสียใจ จารย์ปู่คำผุกเมื่อครองชีวิตฆราวาส ยังคงถือศีลปฏิบัติธรรมตามปกติ ปรากฏชื่อเสียงว่าเป็นผู้มีคุณธรรม คุณวิเศษ ขจรขจายอยู่ตลอดชีวิต มีผู้เลื่อมใสนับถือเป็นจำนวนมาก ผู้คนที่อาศัยอยู่ร่วมหมู่บ้านให้ความยำเกรงและเคารพเป็นที่สุด ด้วยเห็นทั้งความดีและอภินิหารปรากฏอยู่เนืองๆ ยามมีบุญบ้านหรือทำบุญเรือนใดก็ตาม จารย์ปู่คำผุกมักรับเชิญไปร่วมเสมอ หลายครั้งแสดงอภินิหารให้ชาวบ้านประจักษ์ อย่างเช่นเมื่อเดินเข้าประตูเรือน ร่างกายจะสูงใหญ่ จนจะต้องก้มตัวลงลอดประตูเข้าไป เวลาออกก็เดินผ่านประตูด้วยร่างกายปกติ เรื่องนี้ชาวบ้านเห็นกันเป็นประจำ ครั้งหนึ่งมีพระเดินทางมาพบแล้วขอให้จารย์ปู่คำผุกสึกให้ เกิดเป็นประเด็นร้อนให้ชาวบ้านพากันสงสัยสอบถาม พระรูปนั้นได้อธิบายว่า ตนเองตั้งใจบวชไม่สึกจนกว่าจะพบพระอริยบุคคลชั้นสูง ตราบใดที่ยังไม่พบ จะบวชเพื่อแสวงหาสิ่งที่ตั้งใจนี้ไปตลอด คราวหนึ่งธุดงค์ขึ้นไปบนเขาฝั่งลาว พบฤาษีบำเพ็ญอยู่ในถ้ำ ฤาษีถามว่าบวชมากี่พรรษาแล้ว ตอบไปว่าบวชมานานนับ10พรรษา "บวชนานปานนี้ ครูบาสวดอิติปิโสได้หรือไม่" "สวดได้" "งั้นสวดให้ฟังหน่อย" พระรูปนั้นสวดอิติโสจนจบได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ฤาษีน้ำตาไหลพราก "อ้าว..ร้องไห้ทำไม" "ร้องไห้เพราะสงสารท่าน..บวชมาจนป่านนี้ยังสวดอิติปิโสไม่เป็น" "สวดผิดหรือ" "ไม่ผิด..แต่ว่าสวดไม่เป็น เอานะจะสวดให้ดู" เมื่อฤาษีเริ่มสวด ฟ้าก็มืดครึ้มทันใด สวดไปไม่กี่จบ ฟ้าก็แลบลมก็แรง ต่อมาพายุฝนก็บังเกิด ทั้งลมทั้งฝนกระหน่ำอย่างรุนแรงน่ากลัว ครั้นฤาษีหยุดสวด ฟ้าก็ใสกระจ่างสิ้นลมฝนเป็นปลิดทิ้ง "นี่..สวดอิติปิโส ต้องสวดให้เป็นเช่นนี้" หลังจากนั้นจึงได้ถามฤาษีว่า "ทุกวันนี้ยังมีพระอรหันต์อยู่หรือไม่" "ยังมี" "จะหาพบได้ที่ไหน" "เดินลงเขาและตรงไปทางทิศตะวันออก หมู่บ้านแรกที่เจอ พระอรหันต์มีอยู่ที่นั่น" "จะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนเป็นพระอรหันต์" "ไม่ยาก คนนี้แปลกกว่าใคร เป็นคนรูปร่างใหญ่ เหมือนปลาบู่ เป็นคนตาบอด คนนั้นล่ะพระอรหันต์" พระรูปนั้นอำลาฤาษีแล้วเดินลงเขาตรงไปตามทิศที่ฤาษีชี้บอก ขณะนั้นอยู่ฝั่งลาว แต่ไฉนเดินเพียงแค่ค่อนวันเท่านั้นก็ทะลุถึงหมู่บ้านท่าสว่าง ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดอำนาจเจริญได้อย่างน่าอัศจรรย์ พระได้ตั้งใจอธิษฐานว่า จะทราบว่าใครเป็นพระอริยบุคคลได้อย่างไร หากไม่มีมีลักษณะพิเศษแสดงให้รู้ ดังนั้นขอให้พบท่านผู้นั้นในท่วงท่านั่งสมาธิ เมื่อเดินเข้าเขตหมู่บ้าน พบชาวบ้านก็ถามว่ามีใครตาบอด2ข้าง ตัวใหญ่เหมือปลาบู่บ้าง ชาวบ้านชี้ทางไปบ้านจารย์ปู่คำผุกกันทุกคน พระเมื่อเดินถึงบ้านจารย์ปู่คำผุก เห็นว่าจารย์ปู่คำผุกกำลังนั่งอยู่บนชานเรือน นั่งในท่างกำลังทำสมาธิภาวนาดังที่ตนเองอธิษฐานไว้ไม่มีผิด ยังไม่ได้ส่งเสียงทักทายหรือก้าวขึ้นเรือน จารย์ปู่คำผุกก็ร้องใส่ก่อน "โฮ้..ครูบา บวชออกหาพระอรหันต์ หาเจอไหมล่ะ" นั่นจึงเป็นเหตุให้พระขอให้ฆราวาสจารย์ปู่สึกให้ ด้วยแน่ใจว่าพบแล้วซึ่งพระอริยบุคคลขั้นสูง หัวข้อ: Re: ปรามาจารย์ธรรมผุก อุณาภาค บ้านสว่าง จังหวัดอำนาจเจริญ เริ่มหัวข้อโดย: คมขวาน ที่ 19 ธันวาคม 2554, 10:19:49 เรื่องของอาจารย์ปู่ คำผุก อุนาภาค (http://upic.me/i/9h/d_0003.jpg) (http://upic.me/show/21697151)ปู่คำผุก เป็นชาวบ้านท่าสว่าง เกิดที่นั่น โตที่นั่น และมีเรื่องราวชวนอัศจรรย์อยู่ที่นั่น เมื่อแรกเกิดเป็นคนปกติเช่นเด็กทั่วไป แต่พอเริ่มรู้ภาษารู้จักความ เกิดอาการป่วยจนถึงกับทำให้ตาบอดสนิททั้งสองข้าง กลายเป็นภาระให้พ่อแม่เลี้ยงดูอย่างยากลำบาก พ่อแม่ได้นำตัวปู่คำผุกไปถวายวัด โยนภาระให้วัด ซึ่งวัดก็รับไว้ด้วยเมตตาสงสาร อยู่วัดไม่นาน หลวงพ่อเจ้าอาวาสให้บรรพชาเป็นสามเณร ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมไปตามอัตภาพ หลายปีต่อมา ปู่คำผุกเติบใหญ่ขึ้น กลายเป็นสามเณรโข่งตาบอดที่นึกอยากจะได้วิชาคาถาเพื่อพัฒนาตน อยากหาความรู้ใส่ตัวพอให้ได้ช่วยสร้างประโยชน์ตนประโยชน์ท่านกับเขาบ้าง เวลานั้นปู่คำผุกได้ยินกิตติศัพท์ว่าอาจารย์สิงห์ บ้านคึม มีวิชาดี โดยเฉพาะวิชาอ้อน้ำไหล ถ้าได้ใครเรียนจนสำเร็จจะเล่นจะร้องจะลำอะไรคนมักติด ปู่คำผุกอยากเรียนเป็นอันมาก หวังว่าจะได้เอาวิชานี้มาใช้สำหรับการเทศน์ ตัวอาจารย์สิงห์เองเคยบวชเป็นพระมาก่อน สึกออกมาหาเลี้ยงตนและครอบครัวด้วยวิชาอาคมอยู่นานปี หลังๆประสพความลำบาก ด้วยชาวบ้านพากันเห็นว่าอาจารย์สิงห์เป็นปอบ เลยพาลขับไล่ให้ออกไปอยู่นอกเขตหมู่บ้านตามลำพังกับครอบครัวของตน เรื่องที่เขาลือกันว่าอาจารย์สิงห์เป็นปอบนั้น ปู่คำผุกทราบดี แต่ไม่กลัว ปู่คำผุกได้กราบขออนุญาตหลวงพ่อเจ้าอาวาสให้ช่วยพาไปหา แต่หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็ผัดผ่อนเรื่อยมา ไม่พาไปสักที ในที่สุดก็หันไปพึ่งหลวงพี่รูปหนึ่ง ซึ่งมีเมตตาต่อปู่คำผุกมากกว่าผู้ใด หลวงพี่รูปนั้นอาสาพาไปจนพบตัวอาจารย์สิงห์ พบแล้วก็ทิ้งปู่คำผุกไว้กับอาจารย์สิงห์ ส่วนหลวงพี่อาจเกรงกลัวอาจารย์สิงห์จึงขอกลับวัดไม่อยู่ด้วย เมื่อพบกันแล้วอาจารย์สิงห์รับปากว่าจะสอนให้ไม่หวงวิชา ให้ปู่คำผุกพักผ่อนหลับนอนที่บ้านของอาจารย์สิงห์สักคืน พอให้หายเหนื่อย แล้วค่อยเรียนทีหลัง ระหว่างนั้นอาจารย์สิงห์ได้บอกว่า อยากจะให้ปู่คำผุกดูอะไรสักอย่างหนึ่ง จึงลุกขึ้นไปฉวยเอาพานเก่าๆที่วางอยู่บนหิ้งพระออกมา ในพานมีห่อผ้าขาว ข้างในห่อผ้าเป็นแผ่นจารอักขระทองคำโบราณ ไม่ทราบว่าเป็นของใครสมัยใด ตัวอักขระเป็นภาษาที่อาจารย์สิงห์อ่านไม่ออก เคยให้ผู้รู้ในศาสตร์วิชาภาษามากมายหลายคนช่วยอ่าน ก็ไม่สามารถอ่านได้ ไม่ทราบว่าเป็นภาษาอะไร เมื่อส่งแผ่นจารทองคำให้ปู่คำผุกรับไปถือไว้ในมือ เหตุอัศจรรย์พลันอุบัติขึ้น ฟ้าผ่าเปรี้ยงเสียงสนั่นลั่นโดยพลัน ผ่าลงมาแถวๆนั้น เป็นฟ้าผ่ากลางแดดที่ผิดธรรมชาติ ผ่าโดยไม่มีเมฆฝน ผ่าลงมากลางไอร้อนของแดดแผดจ้า แรงกระเทือนของฟ้าที่ผ่า ถึงทำเอาปู่คำผุกสลบเหมือด หลังจากฟื้นขึ้นมา เรื่องแปลกประหลาดทีใครก็คาดไม่ถึง ก็เกิดขึ้นด้วย ปู่คำผุกเปลี่ยนกลายไปเป็นคนละคน ปู่คำผุกได้เรียกเอาแผ่นจารทองคำนั้นมาถือไว้ในมืออีกครั้ง แล้วบอกว่า แผ่นจารนี้เป็นของปู่คำผุกทำไว้เป็นร้อยชาติมาแล้ว ถ้อยคำที่เขียนไว้ในนี้เป็นเสมือนคำสาปแช่ง ผู้ใดครอบครองไว้จะต้องได้ยาก จะตกทุกข์ลำบากแสนเข็ญตลอดชีวิต หลังจากนั้นก็อ่านและแปลข้อความในแผ่นจารให้อาจารย์สิงห์ฟัง อย่างคล่องแคล่วชำนาญปานโกหก นอกจากนี้ปู่คำผุกยังย้ำยังสั่งอีกว่า ให้อาจารย์สิงห์เอาแผ่นจารนี้ไปคืนไว้ที่เก่า หรือเอาไปฝังไว้ฝังไว้ในโบสถ์ ถ้าทำตามนี้แล้ว ชีวิตที่เปี่ยมทุกข์ของอาจารย์สิงห์จะกลับเป็นสุขดังเดิม จากนั้นก็ลุกขึ้นจะกลับวัด "อ้าว..เณร จะไม่เรียนอ้อน้ำไหลแล้วหรือไร" อาจารย์สิงห์เอะอะ "ไม่เรียน..เฮารู้หมดแล้ว" อาจารย์คำผุกตอบอย่างไม่ใยดี นี่เป็นเรื่องแปลก ที่อาจารย์สิงห์เห็นว่าไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา ชะรอยจะเป็นเหตุอัศจรรย์อะไรสักอย่างที่ยังไม่ทราบแน่ชัด ยังสรุปไม่ได้ จึงหาทางทัดทานปู่คำผุกไว้ก่อนไม่ยอมให้กลับ "นี่ก็จวนมืดแล้ว ขอให้เณรพักที่นี่สักคืนตามที่ข้าน้อยตั้งใจแต่แรกเถอะ พรุ่งนี้จะกลับก็ไม่ว่า" ปู่คำผุกขัดไม่ได้จึงยอมพักค้างคืนที่บ้านตามคำร้องขอของอาจารย์สิงห์ ระหว่างนั้นพวกชาวบ้านเริ่มระแคะระคายเหตุการณ์ฟ้าผ่าบ้านอาจารย์สิงห์จึงชวนกันมาดู เล่าเรื่องจารย์ปู่คำผุกต่ออีกหน่อย ชาวบ้านจำนวนมากพอสมควรรวมตัวอยู่ที่บ้านอาจารย์สิงห์ หุงหาข้าวปลากินกันปานงานบุญเล็กๆ พอจะเปรียบได้กับเลี้ยงข้าวปุ้น(ขนมจีน)ผีแม่ม่ายเช่นทุกวันนี้ คืนนั้นจารย์ปู่คำผุกเข้าพักในห้องที่ภรรยาอาจารย์สิงห์จัดให้ตามลำพัง ตกดึกก็เกิดเหตุประหลาด มีแสงสว่างปรากฏอยู่ในห้อง ถึงกับมีลำแสงลอดออกมาตามร่องตามรูกระดานหรือแม้แต่ช่องลม สมัยนั้นบ่มีไฟฟ้าใช้เน้อ อาจารย์สิงห์อดรนทนไม่ได้ ย่องเข้าไปแอบดูผ่านรูไม้ฝาห้องเข้าไป พอเห็นเท่านั้นถึงกับผงะ และมีอันรีบแจ้นลงไปป่าวประกาศกับหมู่ชาวบ้าน ให้พากันแอบดูบ้าง ภาพที่ปรากฏคือ ไม่มีใครเห็นเป็นรูปเป็นตัวจารย์ปู่คำผุก เห็นเป็นเพียงดวงไฟสว่างเรืองรอง คล้ายหลอดนีออนอย่างเช่นปัจจุบัน รุ่งเช้าอาจารย์สิงห์แสร้งถามว่า "เมื่อคืนฝันดีไหมเณร" "ฝันดีหลาย" "ฝันไงล่ะ" "ฝันว่าตัวเจ้าของเอง เอาลิ้นเลียขอบจักรวาล" พอตกสายหลังอาหารเช้าแล้ว จารย์ปู่คำผุกก็ลงจากเรือน เดินดุ่มออกไป จะกลับวัด แปลกที่ว่าไม่ต้องให้ใครจูงอีกแล้ว เดินไปเองได้เหมือนคนตาดี เชื่อหรือไม่ หลังจากนี้มา จารย์ปู่คำผุกแม้บอด กลับเห็นทุกอย่างได้เฉกเช่นคนปกติ บางทีจะเห็นได้ลึกซึ้งกว่าด้วยซ้ำ คนตาบอดมาแต่เล็ก เป็นภาระให้พ่อแม่ จนถึงกับผลักไสลูกชายตาบอดให้วัดรับภาระนั้น ใครจะไปเชื่อว่าบัดนี้จารย์ปู่คำผุกหาได้เป็นภาระของใครไม่ ผู้ที่มีชีวิตทันร่วมชีวิตของจารย์ปู่คำผุกอธิบายถึงเรื่องการมองเห็นไว้ดังนี้ จะว่าท่านมองเห็นเหมือนคนตาดีเสียทีเดียวก็ไม่ใช่ หากแต่สามารถไปไหนมาไหนได้ตามปกติ ไม่อาศัยใครจูง ที่แปลกมากเมื่อการมองเห็นอย่างแจ่มชัดแสดงผล คนก็อัศจรรย์ใจกันทั้งบ้านทั้งเมือง อย่างเช่นมีผู้นำผ้าแพรมาเป็นของกำนัลจารย์ปู่คำผุก ท่านรับผ้ามาไว้ในมือแล้วร้องทักโดยพลัน "โฮ้..คืองามแท้ สีฟ้าใส บ่มีแป้วมีแมง" (โอ้โฮ..สวยจัง ผ้าสีฟ้าสด ไร้มลทิน) หรือแม้แต่มีใครมีธุระหรือเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ เดินทางมาหา จะพระหรือโยม ท่านรู้จักหมด ร้องทักไปก่อนแล้ว "เอ้า..เชิญๆพ่อใหญ่ ขึ้นมาบนเฮือนเลย" "นมัสการครูบา..นิมนต์ข้างบนเลยข้าน้อย" ท่านรู้เห็นสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร ต่อมาจารย์ปู่คำผุกได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อายุครบถ้วนตามพระวินัย และยังคงอาศัยอยู่ที่วัดเดิมต่อไป ไม่ไปไหนอีกเลย จนกระทั่งถึงวันสึกออกจากพระ ระหว่างที่เป็นพระนั้น จารย์ปู่คำผุกปรากฏชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ มีสานุศิษย์เลื่อมใสนับถือไม่น้อย มีอยู่พรรษาหนึ่ง ท่านเลือกพลานหินเหมาะๆบนเขา(ไม่ทราบพิกัด) ลงนั่งภาวนาอยู่ตรงนั้นตลอดวันและคืนไม่ลุกไปไหน ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออกหรือน้ำค้างลง นี่ช่างชวนให้นึกถึงหลวงพ่อเกษม สุสานไตรลักษณ์ คราวที่นั่งบำเพ็ญกลางแจ้ง เพื่อไถ่โทษถอนสาปแช่งของเจ้าแม่สุชาดา แม้จะต่างบุคคลต่างวาระและสถานที่ บรรยากาศการบำเพ็ญเพียรแบบนี้ควรจะคล้ายๆกัน โหดเอาการ(อัตตกิลมถานุโยคแท้ๆ) ครบพรรษาท่านจึงลุกขึ้นเดินออกจากพลานหินนั้น ประกาศแก่ชาวบ้านแลสานุศิษย์ "เฮาจะสึก" โยมพี่ชายถึงกับงงๆ "สึกทำไม" "สึกออกไปเอาเมีย" "โฮ้..ตาบอดแบบนี้ยังไม่เจียม จะมีหมาที่ไหนมาเอาน้อ" "จะมีมาให้เฮาเลือก2คน มากันเองด้วย" "โม้.." หลังจากสึกออกมาเป็นฆราวาสแล้ว ราวๆ3วันต่อมา มีหญิงสาว2คนเดินทางมาพบจารย์ปู่คำผุกจริงๆ แจ้งความประสงค์จะขอเป็นเมีย จารย์ปู่พิจารณาเลือกคนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดชื่อว่า"แม่อ่ำ" ท่านว่าแม่อ่ำเป็นคู่เก่ามาแต่กาลก่อน ทั้งบุญยังมีถึงกัน ส่วนอีกคนที่ไม่เลือก ก็ใช่ เสียแต่บุญที่หล่อนสร้างมานั้น ไม่ถึงขั้นจะได้อยู่ร่วมกันในชาตินี้ หญิงซึ่งจารย์ปู่คำผุกปฏิเสธ ถึงกับเป็นลมล้มพับไปด้วยความเสียใจ จารย์ปู่คำผุกเมื่อครองชีวิตฆราวาส ยังคงถือศีลปฏิบัติธรรมตามปกติ ปรากฏชื่อเสียงว่าเป็นผู้มีคุณธรรม คุณวิเศษ ขจรขจายอยู่ตลอดชีวิต มีผู้เลื่อมใสนับถือเป็นจำนวนมาก ผู้คนที่อาศัยอยู่ร่วมหมู่บ้านให้ความยำเกรงและเคารพเป็นที่สุด ด้วยเห็นทั้งความดีและอภินิหารปรากฏอยู่เนืองๆ ยามมีบุญบ้านหรือทำบุญเรือนใดก็ตาม จารย์ปู่คำผุกมักรับเชิญไปร่วมเสมอ หลายครั้งแสดงอภินิหารให้ชาวบ้านประจักษ์ อย่างเช่นเมื่อเดินเข้าประตูเรือน ร่างกายจะสูงใหญ่ จนจะต้องก้มตัวลงลอดประตูเข้าไป เวลาออกก็เดินผ่านประตูด้วยร่างกายปกติ เรื่องนี้ชาวบ้านเห็นกันเป็นประจำ ครั้งหนึ่งมีพระเดินทางมาพบแล้วขอให้จารย์ปู่คำผุกสึกให้ เกิดเป็นประเด็นร้อนให้ชาวบ้านพากันสงสัยสอบถาม พระรูปนั้นได้อธิบายว่า ตนเองตั้งใจบวชไม่สึกจนกว่าจะพบพระอริยบุคคลชั้นสูง ตราบใดที่ยังไม่พบ จะบวชเพื่อแสวงหาสิ่งที่ตั้งใจนี้ไปตลอด คราวหนึ่งธุดงค์ขึ้นไปบนเขาฝั่งลาว พบฤาษีบำเพ็ญอยู่ในถ้ำ ฤาษีถามว่าบวชมากี่พรรษาแล้ว ตอบไปว่าบวชมานานนับ10พรรษา "บวชนานปานนี้ ครูบาสวดอิติปิโสได้หรือไม่" "สวดได้" "งั้นสวดให้ฟังหน่อย" พระรูปนั้นสวดอิติโสจนจบได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ฤาษีน้ำตาไหลพราก "อ้าว..ร้องไห้ทำไม" "ร้องไห้เพราะสงสารท่าน..บวชมาจนป่านนี้ยังสวดอิติปิโสไม่เป็น" "สวดผิดหรือ" "ไม่ผิด..แต่ว่าสวดไม่เป็น เอานะจะสวดให้ดู" เมื่อฤาษีเริ่มสวด ฟ้าก็มืดครึ้มทันใด สวดไปไม่กี่จบ ฟ้าก็แลบลมก็แรง ต่อมาพายุฝนก็บังเกิด ทั้งลมทั้งฝนกระหน่ำอย่างรุนแรงน่ากลัว ครั้นฤาษีหยุดสวด ฟ้าก็ใสกระจ่างสิ้นลมฝนเป็นปลิดทิ้ง "นี่..สวดอิติปิโส ต้องสวดให้เป็นเช่นนี้" หลังจากนั้นจึงได้ถามฤาษีว่า "ทุกวันนี้ยังมีพระอรหันต์อยู่หรือไม่" "ยังมี" "จะหาพบได้ที่ไหน" "เดินลงเขาและตรงไปทางทิศตะวันออก หมู่บ้านแรกที่เจอ พระอรหันต์มีอยู่ที่นั่น" "จะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนเป็นพระอรหันต์" "ไม่ยาก คนนี้แปลกกว่าใคร เป็นคนรูปร่างใหญ่ เหมือนปลาบู่ เป็นคนตาบอด คนนั้นล่ะพระอรหันต์" พระรูปนั้นอำลาฤาษีแล้วเดินลงเขาตรงไปตามทิศที่ฤาษีชี้บอก ขณะนั้นอยู่ฝั่งลาว แต่ไฉนเดินเพียงแค่ค่อนวันเท่านั้นก็ทะลุถึงหมู่บ้านท่าสว่าง ซึ่งอยู่ในเขตจังหวัดอำนาจเจริญได้อย่างน่าอัศจรรย์ พระได้ตั้งใจอธิษฐานว่า จะทราบว่าใครเป็นพระอริยบุคคลได้อย่างไร หากไม่มีมีลักษณะพิเศษแสดงให้รู้ ดังนั้นขอให้พบท่านผู้นั้นในท่วงท่านั่งสมาธิ เมื่อเดินเข้าเขตหมู่บ้าน พบชาวบ้านก็ถามว่ามีใครตาบอด2ข้าง ตัวใหญ่เหมือปลาบู่บ้าง ชาวบ้านชี้ทางไปบ้านจารย์ปู่คำผุกกันทุกคน พระเมื่อเดินถึงบ้านจารย์ปู่คำผุก เห็นว่าจารย์ปู่คำผุกกำลังนั่งอยู่บนชานเรือน นั่งในท่างกำลังทำสมาธิภาวนาดังที่ตนเองอธิษฐานไว้ไม่มีผิด ยังไม่ได้ส่งเสียงทักทายหรือก้าวขึ้นเรือน จารย์ปู่คำผุกก็ร้องใส่ก่อน "โฮ้..ครูบา บวชออกหาพระอรหันต์ หาเจอไหมล่ะ" นั่นจึงเป็นเหตุให้พระขอให้ฆราวาสจารย์ปู่สึกให้ ด้วยแน่ใจว่าพบแล้วซึ่งพระอริยบุคคลขั้นสูง หัวข้อ: Re: ปรามาจารย์ธรรมผุก อุณาภาค บ้านสว่าง จังหวัดอำนาจเจริญ เริ่มหัวข้อโดย: คมขวาน ที่ 22 ธันวาคม 2554, 14:12:43 ตอนที่ 2
ลูกศิษย์จารย์ปู่คำผุกคนหนึ่ง อยู่ๆสงสัยถามไถ่ว่า "ครูบา" เขาเรียกจารย์ปู่คำผุกว่าครูบา "ครูบา..เขาว่าอาจารย์ทางฝั่งลาวเหยียบเรือล่มได้แม่นบ่ครับ" "แม่นแล้ว" "ครูบาเหยียบเรือให้ล่มได้เหมือนอาจารย์ฝั่งลาวบ่" "เจ้าบ่เชื่อข้อยหรือ" "เชื่อครึ่ง ไม่เชื่อครึ่งแหละครูบา" หลายวันต่อมา ลูกศิษย์ขี้สงสัยมาหาถึงบ้าน จารย์ปู่ได้โอกาสจึงบอกว่า "พาเฮาไปอาบน้ำหน่อยสิ" "อาบที่ไหนล่ะ" "ที่ท่าน้ำริมเซนี่แหละ" ตรงนั้นมีเรือขนาดใหญ่จอดเทียบท่าอยู่ลำหนึ่ง จารย์ปู่อุทานว่า "เรือผู้ใดน้อ..ทั้งงามทั้งใหญ่น่านั่งเล่นจริงๆ" ว่าแล้วก็เดินไปหา ก้าวเท้าขึ้นไปเหยียบหัวเรือเพียงข้างเดียว เรือก็ค่อยจมลงจนมิดลำ ค่อยๆจม ไม่ใช่พลิกคว่ำ จารย์ปู่ก็แสร้งจมลงตามลำเรือไป ลูกศิษย์ก็โดดลงไปคว้าตัวเอาไว้ ดึงจารย์ปู่ขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเล "เกือบเฮาจมน้ำตายแล้วน้อ" ภายหลังลูกศิษย์จึงคิดออกว่า เรือใหญ่บรรทุกคนได้10คน ไฉนเพียงแค่วางเท้าเหยียบหัวเรือ เรือก็จมลงโดยง่าย ตอนที่ 3 เล่าเรื่องอาจารย์คำผุก(ต่อ) ครั้งหนึ่งลูกหลานชาวบ้านท่าสว่าง บ้านเดียวกันกับจารย์ปู่คำผุก กลับมาเยี่ยมบ้าน เขาไปหากินถิ่นอื่น ด้วยอาชีพหมอลำกลอน เมื่อกลับมาถิ่นเกิดก็ไม่ลืมแวะมาคาราวะจารย์ปู่ "เจ้าเป็นหมอลำกลอนรึ" "ครับจารย์" "เออ..บ่ได้ฟังลำกลอนนานแล้ว เจ้าลำให้ข้อยฟังทีรึ" "โอ๊ยย..ผมลำไปงั้นๆเอง บ่ได้เรื่องดอก" "เอาน่ะ ลำเถอะ อยากฟังจริง" "บ่..บ่ลำ ข้อยลำบ่เก่งปานนั้น บ่กล้าลำอวดอาจารย์ดอก" "เจ้าสิลำหรือบ่ลำ" "บ่ลำ" "เจ้าบ่นับถือข้อยแล้ว" "โธ่..จารย์ " "จะลำมั๊ย" "เอ้า..ลำก็ลำ" พอหมอลำกลอนขี้เขิน ขี้อายตัดใจเอามือป้องหูโอ่.. เสียงเจื้อยๆแจ้วๆก็ล่องลอยไปไกล คนแถวนั้นได้ยินก็อดใจไม่ไหว ลุกขึ้นเดินออกจากที่ของตนมาฟังลำกันเป็นจำนวนมาก ในที่สุดก็มากันหมดทั้งหมู่บ้าน หมอลำก็ลำไม่หยุด ลำเป็นขั่วโมงๆ ตั้งแต่เช้ายันสาย พอเที่ยงล่วงเข้าหาบ่าย ชาวบ้านหมู่บ้านข้างเคียงพากันแห่มาฟังลำกัน2-3หมู่บ้านอย่างน่าอัศจรรย์ ตัวหมอลำเองแสนเหนื่อย แต่หยุดไม่ได้ หาที่ลงไม่พบ หันมามองจารย์ปู่คำผุกด้วยสายตาวิงวอนขอความกรุณา คงเริ่มคิดออก ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตน ทำได้แค่ลำไปยกมือไหว้จารย์ปู่ประหลกๆ จารย์ปู่ก็ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ จนเมื่อจารย์ปู่คำผุกเห็นว่าพอควรแล้วจึงร้องว่า "อยากลงก็ลงสิล่ะ" สิ้นเสียงจารย์ปู่เท่านั้น หมอลำกลอนก็พบหนทางลง หยุดลำได้สนิท คลานเข้ามากราบจารย์ปู่ตัวสั่น เกิดมาก็ไม่เคยลำให้คนฟังจำนวนมากขนาดนี้ ไม่มีใครเขาติดอกติดใจฝีปากลำอะไรของตนปานนั้น ไม่เหมือนหมอลำเก่งๆที่เขามีชื่อเสียงโด่งดัง ตนเองก็แค่หมอลำระดับหางแถว ไฉนเล่า ลำคราวนี้จึงได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดปานนั้น เสียดายไม่ทราบชื่อหมอลำกลอนท่านนี้ ด้วยว่ายังมีเรื่องที่จะเล่าถึงหมอลำกลอนต่ออีกหน่อย เรื่องนี้คงจะเกิดขึ้นในอีกหลายปีต่อมา หมอลำอายุมากขึ้น มีเมียมีชู้หลายคน จนใครต่อใครงึดงงงัน รูปก็ไม่หล่อ ลำก็ไม่ได้ดีเด่สักเท่าไหร่ พออาศัยหากินไปวันๆ ไงถึงกลายเป็นคัสซาโนว่าแห่งบ้านท่าสว่างไปได้ วันหนึ่งความลับเผย เจ้าตัวเผลอเผยออกมาเอง "กูบ่อยากคุย" เข้าใจว่าบางทีขณะนั้นหมอลำเจ้าอาจโดนเหล้าขาวเค้นเอา "กูบ่อยากคุยดอก..กูมีนวดสีปากโว้ย"(สีผึ้ง) "หา..นวดมหาเสน่ห์มหานิยมเรอะ" "พวกมึงบ่เชื่อก็อย่าลบหลู่" "ขอดูหน่อย" "เอ้า..นี่ดูซะ..อ๊ะๆ ดูเฉย ไม่ต้องจับ" ว่าแล้วก็เก็บตลับยาหม่องบรรจุ่นวดเข้ากระเป๋าเหมือนเดิม พวกพ้องเห็นแล้วเกิดกิเลส อยากเจ้าเสน่ห์มั่ง ออกปากขอ อ้อนวอนจนแทบจะกราบตีนขอ ก็ไม่ให้ "กูมีนิดเดียว แบ่งได้ไง" นวดตลับนี้หมอลำได้มาจากที่ไหน ได้มาเมื่อไหร่ เป็นของอาจารย์ใดไม่ทราบ วันหนึ่งแวะมาคาราวะจารย์ปู่ หลังจากออกไปหากินไกลถิ่นนานเดือนนานปี "เจ้ามีของดีรึ? ขอดูหน่อย" "ของดีอิหยัง..บ่มีดอก" "นวดไง เอามาดูหน่อย" หมอลำสดุ้งโหยง ขัดใจจารย์ปู่ไม่ได้ เรื่องมันก็เคยเห็นฤทธิเห็นเดชกันมาจนถึงกับทั้งเกรงทั้งกลัวทั้งนับถือ จารย์ปู่รับตลับนวดมากำไว้ในมือ "โฮ้..ของดีนะนี่ ของแฮงหลาย " ว่าแล้วก็ขว้างทิ้งลงไปในบวกควาย(หนองเล็กๆ ควายชอบลงไปแช่เล่น) "ฮ่วยๆจารย์!.. โอ้ยย..ทิ้งไปแล้ว" "ของนี่จะว่าไปก็ไม่ใช่ของดี เป็นของสำหรับสร้างบาปสร้างกรรม ทำให้เจ้าของก่อเวรก่อกรรมไม่สุดไม่เสร็จ" ขว้างทิ้งแล้วก็วางท่าเฉย ออกปากไล่หมอลำกลับบ้าน ฝ่ายหมอลำสุดแสนเสียดาย คิดกลับไปกลับมาหลายตระหลบก็ตัดใจทิ้งนวดของตนไม่ได้ จึงลอบกลับมาที่บวกควาย จะมางมเอาตลับนวดกลับคืน พอลงบวกควายจะมุดตัวลงใต้น้ำ รู้สึกเหมือนมีลำตัวงูขนาดใหญ่เลื้อยเข้ามาดันเอาไว้ไม่ให้จมลง หมอลำตกใจเผ่นขึ้นจากบวกควาย ยืนตัวสั่น ไม่กล้าลงไปอีก แต่ก็ยัง..ยังไม่ยอมแพ้ ไปหาพวกขี้เหล้า2-3คน จ้างพวกนั้นงมให้ ขี้เหล้าทั้งกลุ่มก็เผ่นหนีขึ้นจากบวกควายยังกะรังแตนแตก ร้องเอะอะว่ามีงูใหญ่ มีงูใหญ่ ไม่มีใครกล้าลงไปอีก หมอลำก็หมดท่า ทอดอาลัย ในที่สุดก็ตัดใจทิ้งตลับนวดไว้ในบวกควายตลอดกาล ย้อนกลับมาเล่าเรื่องคุณบรรณศาสตร์ โสมอินทร์อีกหน่อย ไหนๆก็เล่าเรื่องนวด(สีผึ้ง)แล้ว ไม่เล่าเรื่องนวดจารย์ปู่คำผุกก็ใช่ที่ เดิมคุณบรรณศาสตร์แขวนเหรียญกษาปณ์ ร.๕ ของจารย์ปู่คำผุก ไปโดนยิงประมาณว่าในผับสักแห่ง แต่ไม่ออก เห็นว่ายิงจนหมดโม่ ปานนั้น หลังจากเหรียญนั้นหายไป คุณบรรณศาสตร์ก็ไปเอานวดจารย์ปู่คำผุกมาบรรจุใส่หลอดตะกรุดทองคำแขวนแทน นวดจารยฺปู่คำผุกนี้ เข้าใจว่าคงไม่ได้เน้นเรื่องสร้างบาปสร้างกรรม เพราะว่าคุณบรรณศาสตร์ไปโดนเขายิงเอาอีกรอบหนึ่ง จะเป็นมือปืนคนเดิมหรือเปล่าไม่แน่ใจ ผลคือไม่ออกเหมือนกัน นวดจารย์ปู่คำผุกนี้คุณบรรณศาสตร์บอกว่า คุณพ่อของเขาเรียกว่า"นวดเหล็กไหล" (http://upic.me/i/ts/c_0002.jpg) (http://upic.me/show/31425703) หัวข้อ: Re: ปรามาจารย์ธรรมผุก อุณาภาค บ้านสว่าง จังหวัดอำนาจเจริญ เริ่มหัวข้อโดย: บ่แม่นเซียนเป็นคนซื้อพระ ที่ 22 ธันวาคม 2554, 14:21:56 ขอบคุณครับ 017 017 +1 ให้ครับผม
หัวข้อ: Re: ปรามาจารย์ธรรมผุก อุณาภาค บ้านสว่าง จังหวัดอำนาจเจริญ เริ่มหัวข้อโดย: Kongkrapan ที่ 22 ธันวาคม 2554, 14:51:13 น่าฟังมาก ครับ แล้วผู้สืบทอด หรือ ลูกเต้าท่าน เป็นใครบ้างหล่ะครับ
หัวข้อ: Re: ปรามาจารย์ธรรมผุก อุณาภาค บ้านสว่าง จังหวัดอำนาจเจริญ เริ่มหัวข้อโดย: คมขวาน ที่ 22 ธันวาคม 2554, 15:50:43 เท่าที่ทราบจากลูกสาวท่าน ผู้สืบทอด ลูกศิทย์ท่าน บ้านสว่าง และหมู่บ้านใกล้เคียง ได้ล้มหายตายจากไปหมดแล้วครับ
เท่าที่ราบ 1. พ่อใหญ่ธรรมเฮือง บ้านปลาค้าว(อาจารย์พ่อใหญ่ัธรรมกืด) เสียชีวิตแล้ว 2. พ่อใหญ่ธรรมกืด บ้านคำกลาง อายุ 86 ปี พึ่งเสียชีวิตเมื่อกลางปี อาจารย์กระผมเอง 3.พ่อใหญ่ ธรรมจันทร์ บ้านดอนหหวาย เสียชีวิต ได้ 4 ปี 4.พ่อใหญ่ธรรม บ้านคึมใหญ่ เสียชีวิตได 10 ปี นอกนั้นก้ตายเบิดแล้ว ส่วนมาผู้สืบทอดจากพ่อใหญ่ธรรมผุก ก้จะมีอายุ 80 90 ขึ้น ตำราต่างๆพ่อใหญ่ธรรมผุก ธรรมเฮือง ธรรมกืด ตอนนี้ก็ตกทอดมายุกะกระผม ส่วนมากเป็นหนังสื้อก้อม ตัวธรรมอีสาน และอีกสวนหนึ่งยุกับเจ้าอาวาสวัดบ้านสว่าง แต่เพิลบ่ได้เป็นลูกศิทย์ในสายธรรมผุก บ่ได้รับการครอบหัวครอบมือจากอาจารย์ แต่ท่านได้รวบร่วมตำราพ่อใหญ่ธรรมผุกไว้ที่ได้จากลูกสาวเพิล เพราะว่าลูกสาวเพิลอ่าน บ่ออก หัวข้อ: Re: ปรามาจารย์ธรรมผุก อุณาภาค บ้านสว่าง จังหวัดอำนาจเจริญ เริ่มหัวข้อโดย: tar ที่ 23 ธันวาคม 2554, 23:59:45 รอติดตามครับพี่คมขวาน ขอบคุณสำหรับเรื่องราวพ่อใหญ่ธรรมผุก 017 017
หัวข้อ: Re: ปรามาจารย์ธรรมผุก อุณาภาค บ้านสว่าง จังหวัดอำนาจเจริญ เริ่มหัวข้อโดย: Mawwan ที่ 27 พฤษภาคม 2561, 15:04:17 ปรามาจารย์ธรรมผุก อุณาภาค เห็นหลายคนพูดถึงกันมากเลยคับ สุขภาพ (https://www.descargar-mobogenie.com/)
|