หัวข้อ: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 02 ธันวาคม 2554, 13:04:32 พระปรุหนัง เป็นพระเครื่องสมัยอยุธยายุคต้น สร้างขึ้นมาท่ามกลางกลิ่นอาย ของสงครามมีพุทธศิลป์งดงามมาก มีสร้างทั้งชนิดเนื้อ ชิน และชนิดชินปนตะกั่ว รวมทั้งเนื้อดินเผาด้วย พบครั้งแรก ที่กรุวัดพุทไธศวรรย์เมื่อพ.ศ. 2450 และค้นพบในวัดอื่นๆอีกหลายวัด ที่จังหวัดอยุธยามีชื่อเสียงด้านแคล้วคลาด และคงกระพัน มหาอุด
ขุนพันธรักษราชเดช และ เสือฝ้าย มีความเชื่อในพระปรุหนังมากที่สุด ท่านขุนพันธุ์ แขวนพระเครื่องปรุหนังติดตัวเป็นองค์ประธาน ของพระเครื่องอีกหลายองค์ในสร้อยเส้นเดียวกัน แม้ว่าจะเกษียณอายุแล้วท่านขุนพันธ์ ก็ยังแขวนพระปรุหนังติดตัวเสมอ ในขณะะที่เสือฝ้าย แขวนพระปรุหนังจนนาทีสุดท้ายของชีวิตที่ตำรวจต้องนำพระเครื่องปรุหนัง ออกจากคอเสือฝ้าย ก่อนที่จะลงมือสังหาร หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 02 ธันวาคม 2554, 13:08:15 พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า เป็นพระเครื่องชินเงิน และชินเขียว เชื่อกันว่า มีส่วนผสมของเหล็กไหล ธาตุกายสิทธิ์อยู่ด้วย พระบางองค์มีเกศที่คดโค้ง จึงเป็นที่มาของคำว่าพระพิจิตรเกศคด เอ่ยชื่อพระเครื่องชนิดนี้ไม่มีนักเลงพระคนไหน ไม่รู้จัก เพราะพระเครื่องที่มีขนาดเล็ก เท่าเเม็ดข้าวเม่านี้ มีพุทธคุณเข้มขลังมาก
เสือไท หรือพ่อหลิม 1 ใน7 ทหารเสือของเสด็จเตี่ย พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อาจารย์ของขุนพันธ์ท่านก็บูชาพระพิจีตรเม็ดข้าวเม่านี้อยู่โดยใช้เสียบไว้ ที่ซอกฟัน และพระพิจิตรนี้ก็เป็นหนึ่งในพระเครื่องที่อยู่ที่คอของขุนพันธ์เช่นกัน เสือโน้มหรืออาจารย์โน้ม ท่าโรงช้าง ผู้ร้ายคนสำคัญแห่งเมืองพิจิตร มีความนิยมในพระพิจิตรเม็ดข้าวเม่าเป็นที่สุด ได้ฝังพระนี้ไว้ในตัวเองถึง5จุด จนอาวุธปืนของท่านขุนพันธ์ และตำรวจไม่สามารถ ทำอะไรเสือโน้มได้ จนต้องจับหมอโน้ม ถ่วงน้ำ หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 02 ธันวาคม 2554, 13:20:59 พระท่ากระดาน เป็นพระเครื่องตะกั่วสนิมแดง พบครั้งแรก ที่ตำบลท่ากระดาน จัหวัดกาญจนบุรี ที่วัดเหนือ วัดกลาง และวัดใต้ ซึ่งถือว่าเป็นกรุ ต้นกำเนิด มีพุทธคุณเด่นดัง ทางมหาอุด แคล้วคลาด คงกระพัน
พล.ต.ท.ประชา บูรณธนิต ผู้พิชิต เสือผาด ของรักของหวง ของนายพล หนังเหนียวคือพระท่ากระดาน ท่านเป็นเพื่อนสนิทกับท่านขุนพันธ์ ปาฎิหารย์ และความศักดิ์สิทธิ์ของพระท่ากระดาน มีที่มามาจากการที่ท่านพล.ต.ท. ประชาได้ดวลปืนกับคนร้าย ที่จังหวัดนครปฐม ตัวท่านถูกกระสุนปืนจากปืนของคนร้าย หลายนัด แต่ลูกปืนไม่ระคายผิว โดยที่ในขณะนั้น ท่านแขวนพระท่ากระดาน กับลูกอม ของหลวงปู่เหรียญวัดหนองบัว หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 02 ธันวาคม 2554, 13:33:02 พระนางพญาเป็นพระเครื่องเนื้อดินเผา สมัยอยุธยา พบที่วัดนางพญาจังหวัดพิษณุโลก สันนิษฐานว่าสร้างโดยพระวิสุทธฺกษัตรี พระมเหสี ของพระมหาธรรมราชา ซึ่งเป็นพระมารดา ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเครื่องนางพญานี้มีชื่อเสียงครอบคลุม ในทุกๆด้าน
ร.ต.อ.ยอดยิ่ง สุวรรณาครมือปราบปืนโหด ผู้สังหารเสือฝ้ายนั่นเอง เอ่ยชื่อนายตำรวจท่านนี้ บรรดาเสือต่างๆในยุคเสือฝ้าย ต้องพากันหัวหด เพราะตำรวจมือปราบท่านนี้ได้รับฉายาว่ามือปราบปืนโหด หรือ สิงห์ปืนสั่ง คือเดินหน้าฆ่าโจรลูกเดียว ไม่ชอบการจับเป็น และที่สำคัญเขาคือผู้สังหารเสือฝ้ายเสือร้าย เมืองสุพรรณบุรี ปกติร.ต.อ. ยอดยิ่งจะเป็นคนเชื่อมั่นในตนเองสูงและไม่เคยเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ จนได้ประสบกับตนเองว่าปืนไม่สามารถฆ่าเสือร้ายบางคนได้ อันเนื่องมาจากความศักดิ์สิทธิ์ของพระเครื่องรางของขลังในตัวเสือร้าย มีครั้งหนึ่งที่ไล่ล่าตามจับคนร้ายที่แขวนพระสมเด็จ นางพญา ทำยังไงก็ไม่สามารถพิชิตชีวิต คนร้ายคนนี้ได้ มิหนำซ้ำ ยังเกือบถูกคนร้ายเล่นงานเอาแทบแย่ จึงมีความศัธทาในพระนางพญาเป็นอันมาก จึงไปขอพระนางพญามาจาก ตรียัมปวาย หรือ พ.อ.ประจน กิติประวัติ ปรมาจารณ์ ทางพระเครื่อง ที่โด่งดัง ของเมืองไทย ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับร.ต.อ. ยอดยิ่ง มาไว้บูชา หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 02 ธันวาคม 2554, 13:44:12 หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน เป็นเกจิอาจารย์ จังหวัดพิจิตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก และเป็น สหธรรมิก กับหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท โดยทั้งสององค์นี้เป็นพระอาจารย์ของเสด็จเตี่ย พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ปัจจุบันพระเครื่องหลวงพ่อเงิน จัดเป็นพระเครื่องรูปเหมือน เกจิอาจารย์ ที่มีค่านิยมสูงสุด
เสือใบ หนึ่งในเสือสุพรรณเล่าไว้ว่า ที่เขารอดตายมาหลายครั้งจากคมกระสุน ของตำรวจ เพราะเขามี พระเครื่องรูปลอยองค์ ของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน และมีประสบการณจากหลวงพ่อเงินนับครั้งไม่ถ้วน ในคอของเสือใบ เขาจะไม่ยอมขาดองค์หลวงพ่อเงินเด็ดขาด หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 02 ธันวาคม 2554, 13:50:24 พระมเหศวร คือพระเครื่องที่ตั้งชื่อ ตามชื่อโจร แต่เดิม มีชื่อว่าพระสวน ตามลักษณะของพระ ที่เป็นสองหน้า มีพระด้านละองค์ และหันเศียรกลับด้าน กลับหัวกลับหางกัน กัน เศียรหนึ่งขึ้น เศียรหนึ่งลง จึงเรียกกันว่าพระสวน หรือพระสวนทางนั่นเอง พระมเหศวร เป็นพระเครื่องเนื้อชินเงิน และเนื้อชินเขียว เชื่อว่ามีการจัดสร้างมาตั้งแต่สมัย อู่ทองตอนปลาย พบครั้งแรก ที่กรุวัดพระศรีมหาธาตุ สุพรรณบุรี มีชื่อเสียง ด้านคงกระพัน มหาอุด สูงมาก
เสือมเหศวร มีความนับถือ พระองค์นี้มาก และได้บูชาติดตัว จนมีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้คนจึงพากันเปลี่ยนชื่อจากพระสวน มาเป็นพระมเหศวร ตามชื่อเสือที่เป็นโจรชื่อดัง ในชุมโจรเสือฝ้าย แห่งสุพรรณบุรี หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน ที่ 02 ธันวาคม 2554, 13:53:53 เยียมครับได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ครับ ขอบคุณครับ 007
หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: MaiUbon ที่ 02 ธันวาคม 2554, 14:23:04 มีพระท่ากระดานอยู่องค์หนึ่ง ลุงให้มาตั้งแต่สมัยไปเที่ยวกาญจนบุรี 024 024
หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 02 ธันวาคม 2554, 15:19:24 พระร่วงหลังรางปืน หรือขุนศึกแห่งเมืองชะเลียง เป็นพระยืนปางประทานพรพระวรกายทรงเครื่องชุดจอมกษัตริย์โบราณ พระเศียรทรงเทริดแบบชีโบ พระหัตถ์ด้านขวาแบหงายทาบระหว่างกลางพระอุระ ส่วนพระหัตถ์ซ้ายทิ้งห้อยแบหงายเช่นกัน
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อยังมีชีวิตอยู่เล่ากันว่า ทุกครั้งที่ออกตรวจราชการงานไกล ท่านมักจะห้อยพระร่วงหลังรางปืนติดตัวไปเพียงองค์เดียวทุกครั้ง หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: mano ที่ 02 ธันวาคม 2554, 16:27:58 สุดยอดมากครับที่นำข้อมูลดีๆๆๆมาให้อ่านครับ
019 หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: หนองเหล่า ที่ 04 ธันวาคม 2554, 00:22:45 เดิมทีชอบอ่านประวัติของ เสือใบ เสือฝ่าย เสือผาด ทับสายทอง หรือคนสมัยก่อน อยู่ยงคงกะพัน หนังเหนียว ต่างๆ ได้อย่างไร ข้อมูลที่ท่านพี่ ที่ลงให้กระผมได้อ่านนี้ ช่วยให้ความกระจ่างในสิ่ง
ที่กระผมยังไม่รู้ ได้ไขความ กระจ่าง ให้กระผมแล้วครับ ขอบคุณ ท่านพี่ ทุกๆท่านเลยนะครนับ. หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 04 ธันวาคม 2554, 00:30:45 มีดเทพศาสตราวุธหลวงพ่อเดิม นับเป็นวัตถุมงคลที่ทรงอานุภาพมาก นอกจากเป็นวัตถุโบราณที่มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ มีพุทธคุณครอบจักรวาล ยังถือได้ว่าเป็นงานศิลปะชั้นสูงที่เกิดมาจากภูมิปัญญาของชาวบ้านที่เป็นคนไทยแท้ๆ มาแต่โบราณ
ความศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวของมีดหมอนั้น ท่านเปรียบมีดหมอของหลวงพ่อเดิมคือการรวมอาวุธทั้ง ๕ ประการ ที่มีฤทธานุภาพในสามโลก หาศาตราอาวุธใดมาเทียบเทียมได้ไว้ในมีดเล่มเดียว..โดยอาวุธดังกล่าวคือ... ๑.วชิราวุธของพระอินทร์ปราบได้ทั่วสวรรค์และเมืองมาร ๒.กระบองท้าวเวสสุวรรณที่กำราบภูตผีปีศาจได้ชงัดนักแล บรรดาผีต่างเกรงกลัวนักหนา ๓.ผ้าแดงของอาฬวกะยักษ์ที่เป็นมหาเพลิงเผาวอดทุกอย่าง ทำให้แผ่นดินแห้งแล้งได้นับหลายสิบปี ๔.นัยน์ตาของท่านพญายมราชอันทรงฤทธิ์อำนาจเหนือวิญญานร้าย ๕.จักรกรดของพระนารายณ์อันเลื่องฤทธิ์ตัดแหลกทุกอย่างที่ขวาง อาวุธทั้งหมดที่ว่านี้จะรวมอานุภาพกันเป็นเกราะกำแพงแก้วปกปักรักษาท่านผู้ครอบครองบูชาให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ไม่มีสิ่งอำนาจชั่วร้ายใดมาต่อกรเข้ารุกรานได้ครับ...มีดหมอของหลวงพ่อเดิมท่านจึงมีชื่อเสียงโด่งดังมากในอิทธิคุณความศักดิ์สิทธิ์เล่ากล่าวขานสืบต่อกันมาจนถึงยุคนี้ หลวงพิบูลสงคราม(ซึ่ง ต่อมา ท่านคือ จอมพลป.พิบูลสงคราม นายกรัฐ มนตรีที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุดถึง ๑๕ ปี) โดยปกติแล้วท่านจะมีชีวิตอยู่ในระหว่างความเป็นความตายอยู่เสมอ เพราะศัตรูของท่านมีมาก ด้วยความเคารพศรัทธาต่อหลวงพ่อเดิมของนายทหารคนสนิทของท่าน และ ด้วยความเป็นห่วงผู้เป็นนาย นายทหารท่านนั้นจึงได้เดินทางไปที่วัดหนองโพ นครสวรรค์ เพื่อขอเช่าบูชามีดหมอหลวงพ่อเดิม เพื่อ นำมาให้นายไว้คุ้มครองตน และภายหลังหลวงพิบูลสงครามก็พกติดตัวเสมอ จาก บันทึกของกรมตำรวจระบุไว้ว่า เมื่อ วันที่ ๙ พ.ย.๒๔๘๑ ท่านได้ถูกอดีตทหารซึ่งเป็นคนรับใช้มานมนาน ตั้งแต่เป็นคนสวนอยู่กับบิดาของท่าน ซึ่งต่อมาได้เป็นคนขับรถให้หลวงพิบูลฯ และหลวงพิบูลฯรักใคร่เมตตายิ่ง เพราะท่านถือว่าเป็น ?ข้าเก่าเต่าเลี้ยง? แต่ด้วยอามิสสินจ้าง ?นายลี บุญตา? คน ขับรถที่ท่านไว้ใจที่สุด ยิงท่านในระยะเผาขนภายในบ้านของท่าน อัศจรรย์ยิ่งว่า ๒ นัดแรกยิงไม่ออก และมีการวิ่งไล่ยิงต่อกระทั่งกระสุนหมด แต่ก็ไม่โดนตัวท่าน และสุดท้ายร.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ (ยศขณะนั้น) ที่อารักขาท่านประจำในบ้านไล่ตามจับนายลีไว้ได้ และเมื่อเรื่องจบในเสื้อของท่านมีมีดหมอหลวงพ่อเดิม ขนาดจิ๋วๆ ที่เรียกว่า ?มีดสาริกา? ติดอยู่กับเสื้อของท่านเท่านั้นเอง หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: หนองเหล่า ที่ 04 ธันวาคม 2554, 00:53:50 มาอีกแล้วครับ ความรู้ กระผมขอรับเอาไว้เลยนะครับ โดยที่ไม่ อายใครๆ ฮิๆ ครับ. 017 017
หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: warleas ที่ 04 ธันวาคม 2554, 13:08:52 ความรู้พื้นบ้านอีก ความรู้หนึ่งครับ รก ที่มาพร้อมกับเราเกิด ต้องเป็นรกตัวเองเท่านั้น ใช้ตากแห้งจากวันพระดับ จนถึงวันพระใหญ่ นำมาติดตัวหรือให้พระท่านลงอาคมให้ก็ได้ สุดยอด
หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 27 ธันวาคม 2554, 21:21:34 ปางเปิดโลก เป็นพระพุทธรูปอยู่ในอิริยาบถยืนอยู่บนดอกบัว พระหัตถ์ทั้งสองห้อยลงข้างพระวรกาย แบฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองออกไปข้างหน้า เป็นกิริยาทรงเปิดโลกบางแบบยกฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองขึ้น เมื่อครบกำหนด 3 เดือน ที่พระสัมพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปจำพรรษาโปรดพุทธมารดา จึงเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระพุทธองค์ทรงทำโลกวิวรณปาฏิหาริย์ คือ ทรงเปิดโลกทั้ง 3 อันได้แก่ เทวโลก ยมโลก และมนุษยโลก ให้มองเห็นถึงกันหมดด้วยพุทธานุภาพ เหล่าเทวดาในสวรรค์มองเห็นมนุษย์และสัตว์นรก มนุษย์มองเห็นเทวดาและสัตว์นรก สัตว์นรกมองเห็นมนุษย์และเทวดา แล้วจึงเสด็จลีลาลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สู่สังกัสสนคร ในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 พระเครื่องสำหรับคนเกิดวันพฤหัสบดี
พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แขวนเดี่ยว พระร่วงเปิดโลก ติดคอ พร้อมพกพาเครื่องรางของขลังที่มีทั้ง ตระกรุดหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ตระกรุดทองคำหลวงปู่โต๊ะ 108 ลูกอมหลวงปู่ยิ้มวัดหนองบัว หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 27 ธันวาคม 2554, 22:26:03 หลวงพ่อโสธร หรือ หลวงพ่อพระพุทธโสธร เป็นพระพุทธรูปสำคัญของจังหวัดฉะเชิงเทรา ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพระพุทธรูปที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้างประมาณ 1 ศอกเศษ ปางขัดสมาธิเพชร แต่ได้เสริมแต่งขึ้นจากเดิมโดยพอกปูน ลงรักปิดทองให้เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ หน้าตักกว้าง 3 ศอก 5 นิ้ว พระเนตรเนื้อเลียนแบบพระสมัยล้านช้าง หรือที่เรียกว่า ?พระลาว? ได้บูรณะหรือสร้างขึ้นในปลายกรุงศรีอยุธยา หรือต้นสมัยรัตนโกสินทร์ หลวงพ่อโสธร เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ คือมีพระอิริยาบถนั่งขัดสมาธิ พระชงฆ์ขวาทับพระชงฆ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทับพระหัตถ์ซ้ายวางซ้อนกันอยู่บนพระเพลา มีส่วนสูง 6 ฟุต 7 นิ้ว พระเพลากว้าง 5 ฟุต 6 นิ้ว ปัจจุบันประดิษฐาน อยู่ในพระอุโบสถหลวงวัดโสธรวราราม จังหวัดฉะเชิงเทรา
พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หรือ "บิ๊กเหวียง" ประธานที่ปรึกษาโครงการพระราชดำริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และอดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ผู้ยึดถือหลวงพ่อโสธรเป็นสรณะ โดยรอดตายมาได้หลายครั้งแล้ว สำหรับเหตุปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกนั้น "บิ๊กเหวียง" เล่าว่า สมัยที่ยังมียศร้อยเอกหรือพัน ตรี จำไม่ได้ มีวันหนึ่งจำได้ว่าขับรถยนต์ไปงานเลี้ยงที่แปดริ้ว พอเสร็จงานประมาณตีสอง ก็ขับรถกลับตามถนนสายมีนบุรี ประกอบกับตัวเองดื่มสุราเข้าไปพอสมควร จังหวะที่ขับ อยู่นั้นมีความรู้สึกว่าง่วงนอนมาก ถนนดังกล่าวยังไม่มีแสงไฟสว่างเหมือนในปัจจุบัน มันจะมีไฟวูบวาบตามเส้นทางเป็นระยะๆ แต่ยังพยายามประคองรถให้อยู่ตามเส้นทางได้ ไม่น่าเชื่อว่าทันใดนั้นมีอยู่ช่วงหนึ่ง รถก็เกิดเหวี่ยงแบบตวัดออกอย่างกะทันหัน หน้ารถเกือบชนท้ายรถเมล์ที่จอดทิ้งไว้เฉยๆ เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้นก็จะถึงตัวรถอยู่แล้ว แต่รอดมาได้อย่างหวุดหวิด "ผม คิดว่าถ้าคืนนั้นผมขับเร็วอีกเสี้ยววินาทีเดียว รถผมอาจชนท้ายรถเมล์อย่างจังแน่นอน ไม่รู้ว่าเสี้ยววินาทีตรงนั้นใจมันคิดอะไร แทนที่รถจะชนกัน แต่ทำไมถึงมีสิ่งดลใจให้หักหน้ารถออกมาได้อย่างหวุดหวิด มันเป็นเสี้ยววินาทีเฉียดตายจริงๆ ถือว่าผมโชคดีมากๆ ถ้าชนเข้าไปตูมเดียวคงตายแน่ เพราะผมไม่ได้เหยียบเบรกเลย ผมจึงเชื่อในปาฏิหาริย์และสิ่งที่แคล้วคลาดจากหลวงพ่อโสธร" อดีต ผบ.ทบ.เชื่อว่าหลวงพ่อโสธรช่วยให้รอดตาย หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 07 มกราคม 2555, 18:37:08 พระกริ่งจอมสุรินทร์ พ.ศ.2513 ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดพระกริ่งแห่งภาคอีสาน ออกแบบโดยนายช่างเกษม มงคลเจริญ ผสมสูตรนวโลหะโดยพระอาจารย์ไสว สุมโน วัดราชนัดดา... วัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อสมนาคุณแก่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทุนสร้างพระพุทธ รูปขนาดใหญ่ประจำจังหวัด ประดิษฐาน ณ ภูเขาสวาย จ.สุรินทร์ ผู้จัดสร้างได้จัดพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ ณ พระอุโบสถวัดบูรพาราม เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2513 พิธีในครั้งนั้นจัดได้ว่าเป็นพิธีพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่สมบูรณ์น่าเลื่อมใส
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ พระคณาจารย์สายอีสานและพระเกจิอาจารย์ดังทั่วประเทศเข้าร่วมพิธีอย่างคับ คั่ง อาทิ หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่สาม วัดป่าไตรวิเวก ฯลฯ กล่าวได้ว่าพระกริ่งจอมสุรินทร์เป็นยอดพระกริ่งที่เพียบพร้อมด้วยคุณค่าและพุทธคุณอย่างแท้จริง สนธิ ลิ้มทองกุล? หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีไว้ในครอบครอง นั่นคือ ?พระกริ่งจอมสุรินทร์เนื้อทองคำ? วัตถุมงคลที่พระราชวุฒาจารย์ หรือ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ เป็นผู้ปลุกเสก จัดสร้างในปี 2513 หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: siambomba ที่ 12 มกราคม 2555, 17:41:21 เอ๋ บีทาเก้น 'มีบุญเพราะหลวงปู่บุญมี'
การประมูลพระเครื่อง ของวงการพระ จะแตกต่างจากวงการอื่นๆ คือ ประมูลก่อนจ่ายทีหลัง ทั้งนี้ รายได้ที่เกิดจากการประมูลพระเครื่องในคืนเลี้ยงรับรองคณะกรรมการนั้น ถือว่าเป็นการวัดบารมีของคนจัดงานว่า มีบารมีมากเพียงใดนั่นเอง ในการประมูลพระเครื่อง ของคืนวันเลี้ยงรับรองกรรมการนั้น ชื่อหนึ่งที่คนวงการพระได้ยินกันจนเป็นที่คุ้นหู ในการร่วมประมูลพระ คือ นายอภิชิต อาจจินดา หรือที่รู้จักกันในนาม ?เอ๋ บีทาเก้น? และส่วนที่มาของฉายา ?บีทาเก้น? เพราะเขาเป็นหนึ่งในผู้บริหาร บริษัท บีทาเก้น จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าประเภท นมเปรี้ยวพร้อมดื่มพาสเจอร์ไรส์ และโยเกิร์ตพาสเจอร์ไรส์ ตรา บีทาเก้น นั่นเอง ?จริงๆ แล้ว ผมไม่ใช่เซียนพระ ผมเข้ามาสู่วงการพระเพราะพี่ต้อย เมืองนนท์ จากนานๆ ไปร่วมงานของวงการพระที แต่เดี๋ยวนี้ต้องไปทุกงาน จนกลายเป็นว่า อาทิตย์ไหนไม่ได้ไปร่วมงานประกวดพระ รวมทั้งอาทิตย์ไหนไม่ได้ไปเดินศูนย์พระเครื่อง ดูเหมือนว่า ชีวิตขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง เพราะวงการพระเครื่องมีแต่เพื่อนที่มาจากคนทุกชั้น ทุกครั้งที่ผมประมูลพระเครื่อง ผมมองว่า ผู้จัดงานนั้น นำเงินที่ได้ไปทำอะไร มากกว่าที่จะคิดว่า พระที่ประมูลได้มานั้นมีราคาเท่าไร? นี่คือ เสน่ห์ของวงการพระเครื่อง จากคำบอกเล่าของ เอ๋ บีทาเก้น แม้ว่า เอ๋ บีทาเก้น จะมีพระเครื่องชุดหลักๆ ราคาแพงหลายองค์ ไม่ว่าจะเป็นพระหลวงปู่ทวด เหรียญเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรฯ แต่ใครเลยจะคิดว่า พระเครื่องที่เขาแขวน กลับเป็น เหรียญหลวงปู่บุญมี โชติปาโล (โชติปาโล แปลว่า ผู้มีแสงสว่างในธรรม) แห่งวัดสระประสานสุข (วัดบ้านนาเมือง) จ.อุบลราชธานี เนื้อทองแดง รุ่นแรก ปี ๒๕๓๐ ซึ่งเลี่ยมกรอบและแขวนอยู่บนสร้อยคอสเตนเลสธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่เป็นกรอบเลี่ยมทองล้อมเพชร และแขวนอยู่บนสายคอทองคำเส้นใหญ่ อย่างที่หลายคนคิดเอาเองไปก่อน สำหรับที่มาของเหรียญหลวงปู่บุญมีนั้น เอ๋ บีทาเก้น บอกว่า เป็นพระของ นายชิดชัย วรรณสถิตย์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งท่านมอบให้มาเป็นของประมูลในงานประกวดพระเครื่อง ในครั้งนั้น ได้ประมูลมาในราคา ๑.๒ แสนบาท แม้ว่าจะดูว่าราคาสูงเกินจริง เพราะราคาจากวัด และราคาตลาดอยู่ในหลักร้อยปลายๆ เท่านั้น แต่ถ้ามองในแง่ทำบุญ ช่วยการกุศลแล้ว เรื่องราคาค่างวดไม่ใช่สิ่งสำคัญ จากนั้นก็นิมนต์เหรียญหลวงปู่บุญมีขึ้นคอ ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมากว่า ชีวิตมีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โดยมีความเชื่อว่า ชื่อของหลวงปู่บุญมีเป็นมงคล ทั้งนี้อาจจะพูดได้ว่า แขวนหลวงปู่บุญมีทำให้เป็นคนมีบุญ ก่อนหน้านี้ ไม่เคยสัมผัสปาฏิหาริย์อะไร เกี่ยวกับพระเครื่องเลย แต่เมื่อมีหลวงปู่บุญมี ทุกครั้งที่ตั้งจิตอธิษฐานของอะไร มักประสบความสำเร็จทุกครั้ง หลังจากนั้น ก็ศึกษาประวัติของหลวงปู่บุญมี พร้อมกับเดินทางไปกราบไหว้ท่าน ยิ่งทำให้มีความศรัทธามากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ชาวบ้านทั่วไปจะเรียกขานท่านว่าหลวงปู่ หรือหลวงตาบุญมี แต่ท่านจะเรียกตัวท่านเองเสมอว่า พระบ้านนอก ท่านเกิดเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๕๒ ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีระกา ตรงกับวันมาฆบูชา ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๔๗ รวมสิริอายุ ๙๕ ปี ๓ เดือน ๙ วัน อายุพรรษา ๗๔ ปี รุ่นแรก ปี ๒๕๓๐ ส่วนสถาปัตยกรรมของวัดสระประสานสุขนั้น ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น และต่างจากวัดอื่นๆ เช่น ประตูทางเข้าวัดจะเป็นรูปพระอินทร์ทรงช้าง ๓ เศียร อุโบสถบนเรือสุวรรณหงส์ หอระฆัง ๕ ชั้น วิหารรูปเรือนาคราช ซึ่งตั้งอยู่กลางน้ำ อีกทั้งศาลาการเปรียญ ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระประธานปางนาคปรก ขนาดใหญ่ อีกทั้งรูปเหมือนพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอีกหลายองค์ เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้มากราบไหว้สักการะ ภายในวัดนั้น มีความเงียบสงบร่มเย็น มีบริเวณที่กว้างขวาง โดยพุทธศาสนิกชน ได้เลื่อมใสและศรัทธาเดินทางมาทำบุญและเยี่ยมชมวัด ไม่ว่าทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ เป็นจำนวนมาก พร้อมกันนี้ เอ๋ บีทาเก้น ได้ยกบางส่วน คำสอนของหลวงปู่ ที่นำมายึดปฏิบัติในชีวิต เช่น "ดีชั่วก็ตัวเรา จงเอาอยู่ที่ใจ สวรรค์อยู่ที่ใจ อย่าสงสัย เอาใจเถิด เดินทางเดียวกัน อย่าเหยียบรอยกัน ทำสมาธิให้ภาวนา ตาย ตาย ตาย ทุกลมหายใจ" "ละชั่วประพฤติดี ละทิฐิไม่เป็นพาล หวังเพื่อพระนิพพาน บำเพ็ญญาณสนองคุณ" หลวงปู่จะสอนเสมอว่า พระแก้วสององค์ คือ บิดามารดา ให้ระลึกถึงบุญคุณอยู่เสมอๆ ความกตัญญูคือสิ่งที่ล้ำค่า "ให้เชื่อความดีที่เราทำ ให้เชื่อกรรมที่เราสร้าง" "คนยากจน เพราะความตระหนี่ คนเป็นเศรษฐี เพราะบริจาคทาน" เมื่อถามถึงหลักธรรม ที่นำมาใช้ในการบริหารธุรกิจนมเปรี้ยว จนประสบความสำเร็จ เอ๋ บีทาเก้น บอกว่า ใช้ทุกข้อ แต่ข้อที่ใช้มากกว่าปกติ คือ ?ความละอายและเกรงกลัวต่อบาป? ซึ่งมีธรรมอยู่ ๒ ข้อ คือ หิริ (อ่านว่า หิ-ริ, หิ-หริ) แปลว่า ความละอายแก่ใจ ความละอายต่อบาป หิริ หมายถึงความละอายใจตัวเองต่อการทำความชั่วความผิด ต่อการประพฤติทุจริตทั้งหลาย และความละอายใจตัวเอง ที่จะละเว้นไม่ทำความดีซึ่งควรจะทำให้เกิดมีในตน เช่น บิดามารดามีความละอายใจที่จะไม่ดูแลบุตรของตน เป็นต้น และ ๒.โอตตัปปะ เป็นอาการของจิตที่หวั่นไหว เมื่อจะทำความชั่ว เพราะกลัวความผิดที่จะตามให้ผลในภายหลังเกิดขึ้นได้ เพราะคิดถึงโทษหรือความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นจากการทำชั่ว จากการประพฤติทุจริตของตน เช่น ตัวเองต้องเดือดร้อน เกิดความเสียหาย เสียทรัพย์สินเงินทอง เสียอิสรภาพ หรือถูกคนอื่นตำหนิติเตียน ถูกสังคมรังเกียจ เป็นต้น ทั้งหิริ และโอตตัปปะ เป็นธรรมรักษาคุ้มครองโลก ทำให้โลกเกิดสันติ ทำให้คนเราอยู่กันอย่างสงบสุข เพราะคนที่มีหิริจะเกลียดความชั่ว และละอายที่จะทำความชั่ว ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทำให้ไม่ก่อความเดือดร้อนให้แก่โลกและสรรพสัตว์ทั้งปวง อย่างไรก็ตาม ในวันอาทิตย์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๒ สมาคมนักเรียนเก่าอำนวยศิลป์ โดย พล.ท.รังสฤษดิ์ แจ้งเจนกิจ นายกสมาคม ร่วมกับสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย จัดงานประกวด พระบูชา พระเครื่องและเหรียญคณาจารย์ ณ ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ พลาซ่า งามวงศ์วาน จ.นนทบุรี ในฐานะที่เป็นหนึ่งในศิษย์เก่าโรงเรียนอำนวยศิลป์ และเคยเป็นประธานรุ่นหญ้าแพรก เอ๋ บีทาเก้น ฝากบอกว่า อยากเชิญชวนศิษย์เก่าโรงเรียนอำนวยทุกรุ่น ร่วมงานเลี้ยงรับรองคณะกรรมการประกวดพระ ในเย็นวันเสาร์ ที่ ๕ กันยายน ณ ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์ โดยอยากให้ศิษย์เก่าทุกรุ่นทุกท่าน ที่มีอยู่กว่า ๘ หมื่นคน กระจายอยู่ในทุกกลุ่มอาชีพ มาช่วยงานในครั้งนี้ ทั้งในส่วนของการร่วมงานเลี้ยง และส่งพระเข้าประกวด ?ก่อนหน้านี้ไม่เคยสัมผัสปาฏิหาริย์อะไรเกี่ยวกับพระเครื่องเลย แต่เมื่อมีหลวงปู่บุญมี ทุกครั้งที่ตั้งจิตอธิษฐาน ขออะไรมักประสบความสำเร็จทุกครั้ง? เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู" (http://upic.me/i/uf/fabhiabjihjcckda7kj6i.jpg) (http://upic.me/show/32028144) (http://upic.me/i/6j/aib5ahkhg75h7a7bj7bgg.jpg) (http://upic.me/show/32028147) หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 13 มกราคม 2555, 22:14:57 ลูกอม เป็นเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่ง ลักษณะส่วนใหญ่ของลูกอมทำเป็นลูกกลม ๆ ขนาดเล็กใช้อมเป็นเครื่องรางของขลัง เพื่อคุ้มครองป้องกันภัยอันตราย ลูกอมผง มีส่วนผสมของผงวิเศษซึ่งได้จากการเขียน ผงตามสูตรบังคับเช่น ผงปถมํ อิถิเจ มหาราช ตรีนิ สิงเห ผงพุทธคุณ และผงเกร็ดต่าง ๆ เป็นต้น
ผงวิเศษต่าง ๆ เหล่านี้เป็นของดีที่สำเร็จในอิทธิอภินิหารย์ด้วตนเองมีพุทธานุภาพตามแต่ ท่านคณาจารย์จะอธิษฐานจิตลงไป การสร้างลูกอมผงนั้น ส่วนใหญ่เป็นผลพลอยได้จากการสร้างพระเครื่อง คือเมื่อนำเอาผงวิเศษไปผสมผสานคลุกเคล้ากับตัวยึดเกาะและเนื้อหาสำคัญ เช่น ผงปูนหอย กล้วยน้ำว้า น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำมันตั้งอิ๊ว เมื่อเหลือจากการพิมพ์พระแล้วจึงนำเอามาปั้นเป็นลูกอม มีลักษณะเป็นลูกกลมเล็ก ๆ ใช้อม มีพุทธคุณไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพระพิมพ์เช่นกัน ลูกอมของ หลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ท่านนิยมสร้างเป็นลูกกลมมีขนาดเล็กประมาณเท่าปลายนิ้วก้อย สีออกไปทางน้ำตาลส่วนใหญ่ จะปิดทองมาแต่เดิม เสือขาวเป็นจอมโจรเจ้าของฉายาขุนโจรร้อยศพ มีประวัติเหี้ยมโหดมาก เสือขาวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อดิ่ง มีของดีที่อยู่กับตัวคือลูกอมหลวงพ่อดิ่ง แต่ไม่ประพฤติตนเป็นคนดี หลวงพ่อดิ่งได้เตือนเสือขาวว่า "มึงจะต้องตายโหงหากไม่เลิกเป็นโจร" เสือขาวนั้นทะนงตัว เพราะไม่มีอาวุธใด ๆ ทำอันตรายได้ ปืนยิงไม่ออก มีดแทงไม่เข้า ความเป็นอมตะของเสือขาวนี้เอง ทำให้เกิดความลำพองใจไม่ฟังคำเตือนของหลวงพ่อดิ่งผู้เป็นอาจารย์ ตำรวจชุดไล่ล่าได้มาหาหลวงพ่อดิ่งที่วัดบางวัว แล้วถามว่าจริงหรือที่ว่าเสือขาวนั้นหนังเหนียว หลวงพ่อดิ่งบอกว่า "จริง ไอ้ขาวมันหนังเหนียว ยิงฟันไม่เข้าหรอก แต่มันจะแพ้ดวงของมันเอง อาตมาบอกไม่ได้หรอกว่าจะสังหารไอ้ขาวได้อย่างไร เพราะมันเป็นการผิดศีล" ตำรวจชุดไล่ล่าล่าหลวงพ่อดิ่งจะลากลับ ในขณะนั้นมีตาเถรคนหนึ่งซึ่งรู้จักกับจ่าบุญมีได้มาบอกว่า "ถ้าจะสังหารไอ้ขาว จะต้องใช้ปลายพระขรรค์ของหลวงพ่อโศก วัดปากคลองเขียนพระคาถาตามที่ท่านให้ ลงที่ลูกปืนที่หัวกระสุน" หลวงพ่อโศก ท่าน เป็นสหายของหลวงพ่อดิ่ง วัดบางวัว วิชาอาคมของหลวงพ่อดิ่งที่ลงไว้ หลวงพ่อโศกท่านจะจารแก้ไว้บนใบมีดหมอของท่าน" เสือขาวได้ปะทะกับตำรวจชุดไล่ล่าอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับทุกครั้ง เพราะกระสุนเพียงนัดเดียวเสือขาวถึงกับทรุดสิ้นลายของคำว่า"จอมโจรหนัง เหนียว" กระสุนที่ใช้สังหารเสือขาว หัวกระสุนทั้งหมดที่ใช้ยิง จารด้วยพระขรรค์ของหลวงพ่อโสก วัดปากคลองฯ หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 13 มกราคม 2555, 22:42:55 พระขรรค์ คือ อาวุธปลายแหลม คลายมีด แต่มีสองคม และเรียวตรงกลาง คณาจารย์ท่าน ได้แยกแขนงมาจากมีดหมอ หรือเทพศาสตรา ใช้สำหรับการปราบภูติผีปีศาจ และคุ้มกันอันตราย วัตถุประสงค์ในการสร้างก็ดุจเดียวกันคือ "มีดหมอ" นั่นเอง พระขรรค์ด้ามทำด้วยเขาควายเผือกของ หลวงพ่อโสก วัดปากคลอง เป็นเกจิอาจารย์ที่ชาวเมืองเพชรให้ความเคารพนับถือมาก พระขรรค์ของหลวงพ่อโศกนั้น เป็นที่แสวงหากันมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ดังมีคำกล่าวที่ว่า "ลูกผู้ชายชื่ออ้ายแผน เมืองเพชร ขอให้มีปลัดขิกอัน ผ้ายันต์ผืนพระขรรค์เล่มของหลวงพ่อโศก ถึงไหนถึงกัน" คำกล่าวนี้บ่งบอกถึงความเชื่อถือและความศักศิทธิ์แห่งเครื่องรางที่ท่าน สร้างไว้ได้เป็นอย่างดี
สุดยอดเทพศาตราวุธ พระขรรค์เขาควายเผือกหลวงพ่อโศก ถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดแห่งพระขรรค์ ที่มีอานุภาพใช้ได้ทุกทาง 1.คุ้มครองรักษาป้องกันอันตรายเมื่ออยู่กับตัวผู้ใช้ 2.ป้องกันภัยภูติผีปีศาจ 3.ผ่อนหนักเป็นเบา ไม่ถึงคราวรอดตาย 4.เป็นที่ยำเกรงต่อศัตรู เป็นมหาอำนาจ 5. ด้ามพระขรรค์ ทำจากเขาควายเผือกถูกฟ้าผ่าตาย ตามเคล็ดวิชา เพราะสายฟ้านั้นมีพลังอำนาจทำลายล้างตามธรรมชาติที่รุนแรงที่สุด และเป็นเคล็ดคุ้มครองให้ผู้ถือครอบครองพระขรรค์ไม่ถูกฟ้าผ่าตาย กรรมวิธีการสร้าง ตาม ตำราของท่านกำหนดว่าเขาควายนั้นจะต้องประกอบด้วยลักษณะดังนี้ เขาควายเผือก (ควายธรรมดาใช้ไม่ได้) ต้องตายโหง ขวิดกันเองตาย หรือถ้าถูกฟ้าผ่าตายได้ก็ยิ่งวิเศษ เขาควายนั้นจะต้องไม่ถูกต้มมาก่อน เมื่อควายตายลงก็ต้องชำแหละตัดเขาออกสดๆ ไม่ต้องรอให้แล่ควายออกเป็นส่วน ๆ แล้วจึงนำหัวมาต้มเพื่อเอาเขาออกได้ สะดวกท่านว่าใช้ไม่ได้ แกะเป็นด้ามพระขรรค์ (โดยไม่ทวนเขา) เวลาแกะให้จำไว้ว่าทางไหนทางโคนเขา ทางไหนทางปลายเขา ให้ทำเครื่องหมายไว้ เวลาแกะให้แกะจากโคนเขาไปหาปลายเขา เป็นทางเดียวตลอดเวลาการแกะจนสำเร็จ ถ้าทวนแม้แต่ครั้งเดียวใช้ไม่ได้ต้องทิ้งไป เสือขาว"จอมโจรหนัง เหนียว" ถึงกับทรุดสิ้นลายกระสุนที่ใช้สังหารเสือขาว หัวกระสุน จารด้วยพระขรรค์ของหลวงพ่อโสก วัดปากคลองฯ คาถากำกับพระขรรค์ "พุทโธ ปัพพะชายาโน สัพพะศัตรู วินาสสันติ ธัมโม ปัพพะชายาโน สัืพพะศัตรู วินาสสันติ สังโฆ ปัพพะชายาโน สัพพะศัตรู วินาสสันติ" หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: ramin ที่ 14 มกราคม 2555, 19:00:05 พระกริ่งจอมสุรินทร์ พ.ศ.2513 ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดพระกริ่งแห่งภาคอีสาน ออกแบบโดยนายช่างเกษม มงคลเจริญ ผสมสูตรนวโลหะโดยพระอาจารย์ไสว สุมโน วัดราชนัดดา... วัตถุประสงค์ในการสร้างเพื่อสมนาคุณแก่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทุนสร้างพระพุทธ รูปขนาดใหญ่ประจำจังหวัด ประดิษฐาน ณ ภูเขาสวาย จ.สุรินทร์ ผู้จัดสร้างได้จัดพิธีพุทธาภิเษกใหญ่ ณ พระอุโบสถวัดบูรพาราม เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2513 พิธีในครั้งนั้นจัดได้ว่าเป็นพิธีพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่สมบูรณ์น่าเลื่อมใส สนธิ ลิ้มทองกุล? หนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีไว้ในครอบครอง นั่นคือ ?พระกริ่งจอมสุรินทร์เนื้อทองคำ? วัตถุมงคลที่พระราชวุฒาจารย์ หรือ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล แห่งวัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ เป็นผู้ปลุกเสก จัดสร้างในปี 2513 อันนี้น้อยคนที่จะรู้ ไม่ทราบท่าน VS12 ก็รู้ด้วย เจ้าของพระกริ่งจอมสุรินทร์ เนื้อทองคำที่มอบให้คุณสนธิ คือ พ.ต.ท.จเร สุปิรยะ หรือเทพสุรินทร์ สวป.เมืองสุรินทร์ ผมเคยเสวนากับท่านเกี่ยวกับกริ่งจอมสุรินทร์ และท่านเล่าว่า เหตุการณ์ที่คุณสนธิรอดพ้นจากมัจจุราชเมื่อไม่นานมานั้น แท้จริงแล้ววันนั้น คุณสนธิได้แขวนกริ่งจอมสุรินทร์ที่สารวัตรจเรให้ไปนั่นเอง หลังจากได้สติ คุณสนธิยังโทรไปขอบคุณสารวัตรจเรอีกด้วย หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 28 มกราคม 2555, 18:26:42 หลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม เป็นศิษย์ก้นกุฎิของหลวงพ่อฮวบ หลังจากที่หลวงพ่อฮวบ เจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม ได้มรณภาพใน ปีพ.ศ.2465 หลวงพ่อรุ่ง ได้อยู่ในตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม ได้ เพียง 1 ปี หลวงพ่อรุ่งได้ลาสิกขาบท ในปี พ.ศ. 2466 ขณะที่ท่านมีอายุได้ 70 ปี และหลวงพ่อเงิน ได้ดำรงค์ตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบต่อมา
หลวงพ่อรุ่ง ท่านมีความเจนจัดในด้านวิปัสสนากรรมฐานและพุทธาคมมากเรียกได้ว่าเป็น อาจารย์ใหญ่ของหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม พุทธาคมที่หลวงพ่อเงินเรียนรู้ ส่วนใหญ่จะได้มาจากหลวงพ่อรุ่ง ในช่วงที่หลวงพ่อรุ่งยังมีชีวิตอยู่ในเพศฆราวาส ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ไม่แพ้หลวงพ่อฮวบอาจารย์ของท่าน ท่านเป็นพระที่ร้อนวิชาองค์หนึ่งทีเดียว เฉกเช่นกับหลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ท่านได้สร้างพระเครื่องไว้หลายรูปแบบด้วยดินขุยปู แต่ที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดได้แก่ พระพิมพ์นาคปรก พระพิมพ์นาคปรกนี้ หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมเองก็นำติดตัวตลอดเวลา ในระหว่างออกเดินธุดงค์ ในสมัยที่ยังเป็นพระหนุ่ม เสือผาดทับสายทอง ให้ความเคารพและนับถือหลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอมมาก และเคยเล่าว่า ชีวิตของตนรอดตายหลายต่อหลายครั้ง ก็จากพุทธคุณของพระพิมพ์นาคปรก หลวงพ่อรุ่ง วัดดอนยายหอม ถึงขนาดที่เคยถูกล้อมจับไม่มีน้ำกิน เคยอาราธนาพระพิมพ์นาคปรก หลวงพ่อรุ่ง ทิ้งลงไปในน้ำที่จะตักมาดื่ม ผลปรากฏว่า บริเวณที่พระตกลงไป น้ำจะใสสะอาดทันที นอกจากได้พระนาคปรกจากหลวงพ่อรุ่งไว้คุ้มครองแล้วยังได้วิชาจากหลวงพ่อรุ่งไว้ป้องกันตัวโ ดยเฉพาะวิชากำบังกายถึงขนาดที่ว่า เสือผาดเดินผ่านตำรวจมือปราบได้โดยที่นายตำรวจผู้นั้นไม่เห็น และก็เป็นที่ยอมรับของตำรวจว่าหลายครั้งที่ล้อมจับเสือผาดแล้วหาตัวไม่พบ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2494 เสือผาดได้ถูกตำรวจล้อมจับบริเวณ สถานีรถไฟหนองปลาดุก ต.ปากแรต อ.บ้านโป่ง นายตำรวจและผู้ติดตามนับสิบคน ได้เข้าล้อมจับเสือผาดที่จนมุมอยู่กลางทุ่งนา พร้อมกับเสือสังวาลย์ สมุนคู่ใจ แต่ทั้งคู่ไม่ยอมแพ้ ได้เกิดการต่อสู้กับตำรวจ จนกระทั่งเสือสังวาลย์ถูกยิงตาย ยังคงเหลือแต่เสือผาดแต่ตำรวจก็ไม่กล้าเข้าล้อมจับ จนกระทั่งมีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด หลังจากนั้นตำรวจได้เข้าไปตรวจสอบพบว่า เสือ ผาดได้ใช้ปืนยาวพระรามหกยิงกรอกปากตัวเองด้วยกระสุนนัดสุดท้ายที่เหลืออยู่ เพราะไม่ยอมจนมุมและไม่ยอมตายด้วยเงื้อมือตำรวจแต่ขอปลิดชีพตัวเอง ก่อนที่เสือผาดจะยิงตัวตาย ได้ถอดพระเครื่องที่แขวนติดตัวทั้งหมดฝังเอาไว้ในรูปู โดยหลังจากที่ตำรวจเข้าชันสูตรศพเสือผาด ได้นำพระของเสือผาดมาไว้ที่หน้าอกและถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐานแต่ผลจากการชันสูตรศพพบว่า เสือสังวาลย์โดนปืนร่างพรุึน แต่เสือผาดมีรอยช้ำเป็นจ้ำๆทั่วทั้งตัว จากการที่โดนกระสุนปืนจากตำรวจแต่ไม่เข้าเลยแม้แต่นัดเดียว หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: chanatip ที่ 28 มกราคม 2555, 20:21:44 ?สนธิ? เปิดใจครั้งแรก เบื้องลึกปมลอบยิง หลังถูกยิงถล่มรถ กว่า 100 นัด
"มีคนถามผมว่า ผมห้อยพระอะไร ความจริงแล้วผมเป็นคนที่มีพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ผมเคารพอยู่หลายองค์ ผมเข้ามาที่ออฟฟิศตอนเช้า ทุกวันผมก็ทำ ผมจะบูชาองค์จตุคามรามเทพ ที่อยู่ข้างล่าง ข้างๆ สระน้ำ ผมจะไหว้พระอุปคุต ผมไหว้พระแม่ธรณี ผมไหว้ศาลพระเจ้าตากสิน แล้วผมไหว้พระภูมิเจ้าที่ แล้วผมก็ขึ้นมาไหว้พระข้างใน พระชุดใหญ่ แล้วผมก็ไหว้หลวงตามหาบัว ผมก็มีหลวงตามหาบัว หลวงปู่มั่น ภูมิทัตโต พระอาจารย์เสาร์ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงปู่มั่น หลวงปู่ดุลย์ แล้วผมก็ไหว้หลวงปู่ทวด มีหมดทุกองค์ หลวงปู่บุญมี โชติปาโล หลวงพ่อญาท่าน เพราะฉะนั้น พ่อแม่ครูอาจารย์ผมเยอะมาก ที่ผมบูชา ผมไหว้ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าการที่ผมอ้างอิงพ่อแม่ครูอาจารย์ คือ ทุกครั้งผมตั้งจิตอธิษฐานในการไหว้ ผมบอกว่า ข้าพเจ้าขอตั้งใจทำงานรับใช้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และส่วนรวมจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ตรงนั้นต่างหาก แล้วผมเชื่อว่าผมรอดชีวิตได้เพราะคุณงามความดีพระ คุณงามความดีที่ผมทำ เพราะฉะนั้นพระที่ปกป้องผมคือ คุณงามความดี" ................. 001 ที่สำคัญคือ ยิง M 79 เข้าไปในรถแล้วไม่ระเบิดเสย! ไม่เหรียญรุ่นแรกทองคำ ก็น่าจะเป็น รูปหล่อก้นต้น อ่ะนะ (http://upic.me/i/lb/lpbunmee.jpg) (http://upic.me/show/32496830) (http://upic.me/i/o3/am123.jpg) (http://upic.me/show/32496427) (http://upic.me/i/ql/q2i45.jpg) (http://upic.me/show/32496432) (http://upic.me/i/ga/16images.jpg) (http://upic.me/show/32496439) หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2555, 22:15:35 หลวงพ่อห้อง วัดช่องลม ท่านเกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๕ กุมภาพันธ์พ.ศ.๒๓๘๘ ที่ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี โยมบิดาชื่อ แสง โยมมารดาชื่อ นาค เมื่อท่านอายุครบบวช(ปีพ.ศ.๒๔๐๙) หลวงพ่อห้องได้อุปสมบทที่วัดช่องลม โดยมีท่านเจ้าอาวาส วัดช่องลมในขณะนั้น เป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดจันทร์ วัดพญาไม้ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อเรือง วัดท้ายเมือง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "พุทธสโร" เมื่อท่านบวชแล้ว หลวงพ่อท่านประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และบำเพ็ญ ศาสนกิจของสงฆ์ ถูกต้องตามพุทธบัญญัติทุกประการ จนกระทั่งมรณภาพ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๖๙ มีอายุได้ ๘๑ปี ในสมัยที่หลวงพ่อห้องยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้สร้างพระเครื่องในรูปแบบเหรียญปั้มและเหรียญหล่อโบราณ เมือประมาณ ปี พ.ศ.๒๔๖๕ เสือเเป้นฉาย จอมโจรเเห่งลุ่มน้ำเเม่กลอง เรียกว่าตั้งเเต่ราชบุรี สมุทร สงคราม ขนาดเด็กกำลังร้องให้ ถ้าพูดว่าไอเสือเเป้น มาเด็กหยุดร้องทันที ดังไหมขนาดเด็กยังกลัวขี้หดตดหาย เสือเเป้น เป็นลูกศิษย์ ของ หลวงพ่อห้อง วัดช่องลม เเละได้รับเหรียญหล่อโบราณและรับการสักยันต์ ...พระโมคคัลลานะ... จากท่านกาลเวลาต่อมา เสือเเป้นถูกความกดดันหลายสิ่งหลายอย่าง จึงต้องหันเหมายึดอาชีพเป็นโจร เที่ยวปล้นระดมชาวบ้านชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว ถึงเเม้เจ้าหน้าที่จะออกปราบปรามเคยปะทะ กับเสือเเป้นเเบบประจัญบาน เเต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำอะไรเสือเเป้นได้ เพราะว่าหนังดีคือ ...คงกระพัน.. อาวุธทุกชนิดของเจ้าหน้าที่ ไม่สามารถทำอันตราย เเม้เเต่ผิวหนังของเขาได้ เสือเเป้นจึงหลุดรอดมาครั้ง ในที่สุดทางการจึงวางเเผน โดยให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกับสมุนเสือเเป้น ใช้วิธีจ้างให้ลูกสมุนทำร้ายให้สลบ เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้เข้าไปจับกุมโดยง่ายดาย ลูกสมุนของโจรพอเห็นเงินก้อนใหญ่เลยเกิดความโลภ จึงวางเเผนทรยศต่อลูกพี่ ตอนเสือเเป้นนอนหลับ ลูกน้องทรยศได้ใช้ไม้พองตีจนสลบ เจ้าหน้าที่จึงกรูเข้าจับตัวได้ หลังจากเสือเเป้นถูกส่งตัวฟ้องศาล ได้ตัดสินประหารชีวิต ในยุคนั้นการประหาร นักโทษ ทางราชการใช้วิธีนำผู้ต้องหามัดติดกับเสา เเล้วเพรชฌฆาต จึงลงมือฟันคอด้วยดาบ เมื่อข่าวเเพร่ออกไปว่า เสือเเป้นถูกจับได้ เเละถูกนำตัวไปตัดศรีษะ ประชาชนนับหมื่น ต่างมุงดูกันหล้นหลาม ณ ลานประหาร โดยมีพระยาไกรเพรช รัตนสงคราม สมุหเทศบาล เป็นประธาน ส่วนเพรชฌฆาต นั้นได้เตรียมมาจาก กรุงเทพ คือหมื่นสาหัส เป็นดาบ 1 คนฟันคอ ส่วนนายอ้น เพรชฌฆาต เป็นดาบ 2 คนรำล่อเเละเชือด พอได้กำหนดเวลาเจ้าหน้าที่ได้นำตัวเสือเเป้น.ผูกคอมัดติดกับเสาประหารท่าม กลางความโศกเศร้าเสียใจ ของมารดาเเละญาติ พี่น้องที่เคยห้ามปรามเเต่ไม่เชื่อฟัง พอได้เวลาเสียงปี่กลองก็เริ่มขึ้น เพรชฌฆาต ก็ร่ายรำหลอกหล่อไปตามจังหวะเสียงปี่เสียงกลอง พอรัวๆ เพรชฌฆาต ดาบ 1 ก็เงื้อดาบขึ้นสุดเเขนฟันลงไปตรงบั้นคอของเสือเเป้นทันที เเต่ทว่าคมมีดไม่สามารถชำเเหละผิวหนังของ เสือ เเป้นได้ เเม้เเต่เพียงริ้วรอยก็เหมือนรอยหนามเกี่ยวเท่านั้น สร้างความตื่นตะลึงเเก่ผู้ที่มาดูในวันนั้น ดาบ 1 ฟันไม่เจ้า ดาบ 2 เลยใช้มีดดาบเชือดเฉือนทันที เเต่ทว่าก็หาระคายผิวไม่ ทั้งๆที่ดาบของ เพรชฌฆาต เป็นดาบศักศิทธิ์ เคยฟันคอนักโทษที่มีอาคมขลัง ขาดกระจุยมานักต่อนักเเล้ว เลยต้องเข้าไปกราบเรียนเจ้าคุณ ทศ เห็นจะต้องใช้วิธีอื่น พระยาไกรเพรช รัตนสงคราม จึงตัดสินใจให้นำกระทะมาต้ม เมื่อมารดาเห็นเช่นนั้น จึงได้ขันอาสากับท่านเจ้าคุณ ว่าจะช่วยเกลี้ยกล่อมลูกชายให้เอง ให้ถอนอาถรรพณ์ เพราะไม่อยากเห็นลูกชายต้องทนทุกข์เวทนา เช่นนั้นเมื่อมารดาเสือเเป้น เข้าไปเกลี้ยกล่อม บุตรชายให้ถอน อาถรรพณ์ ในที่สุดเสือเเป้น บอกให้มารดา ตักน้ำมา เเละตัวเองทำน้ำมนต์ให้มารดาไปรดที่ตัว พร้อมกับเอาน้ำมนต์ลูบไปที่ อักขระยันต์ด้านหลัง 3 ครั้ง เเล้วก้มลงกราบมารดา เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้น เพรชฌฆาต ก็ทำพิธีประหารต่อไป พอดาบ 1 ฟันลงก้านคอเท่านั้น คอขาดกระเด็นเลือดพุงกระฉูดกระจายไปทั่ว สิ้นสุดชีวิตความชั่วของเสือเเป้นฉาย.ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่โจษจันกันไปทั่ว ว่า เสือเเป้น หนังเหนียว เพราะหลวงพ่อห้องท่านสักยันต์ให้ ตั้งเเต่นั้นมานักเลงถิ่นไหนก็เดินทางมาให้หลวงพ่อห้องท่าน สักยันต์ให้ .เเละถวายตัวเป็นลูกศิษย์ พุทธคุณพระท่านช่วยทุกคนไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนดีหรือคนเลวก็ตาม พุทธคุณพระไม่มีเเบ่งชั้นวรรนะ มันอยู่ที่กรรมของเเต่ละคน......... หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2555, 22:25:45 หลวงพ่อห้อง วัดช่องลม และเหรียญหล่อโบราณ หน้าเหรียญมีรูปหลวงพ่อและยันต์หัวใจยอดศีล "พุทธะสังมิ"ดีทางคงทนอาวุธ หอกดาบ และปืนไฟ ด้านหลัง นวหรคุณ 9 ห้อง " อะสังวิสุโลปุสะพุภะ" "มะอะอุ " คงกระพัน กันอาวุธ หยุดลูกปืน สุดท้ายยันต์พระโมคคัลลานะ
หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 06 เมษายน 2555, 15:37:56 ในช่วงที่ท่านมีชีวิต หลวงพ่อพาน เปรียบเสมือน เทพเจ้าแห่งกุยบุรี ท่านเป็นพระที่เก็บตัว วัดของท่านแทบจะเรียกว่าอยู่ในป่าเลยครับ ทำให้ท่านไม่เป็นที่รู้จักของคนต่างถิ่นมากนัก แต่ในท้องที่กุยบุรีแล้ว ท่านเป็นอันดับหนึ่งครับ เหรียญรุ่นแรกของท่าน สร้างในปี พ.ศ. 2519 เหรียญรุ่นแรก หลวงพ่อพาน สุขกาโม วัดโป่งกระสัง บ้านโป่งกระสัง อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
สุดยอดมหาอุตม์ตลอดกาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ 2490 ต้องยกให้หลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก ช่วงปี พ.ศ. 2490 - 2520 ต้องยกให้ หลวงพ่อท้วม วัดเขาโบสถ์ หลังจากหลวงพ่อท้วม ก็จะเป็น หลวงพ่อนิ่ม วัดเขาน้อย และ หลวงพ่อฟัก วัดนิคมประชาสรรค์ เจ้าแห่งปลัดขิก หลวงพ่อพาน ท่านเป็นพระที่อยู่ในยุคเดียวกันกับ หลวงพ่อนิ่ม และหลวงพ่อฟัก แต่ท่านจะอ่อนอาวุโสกว่าทั้งสองท่านครับ ท่านจะมีอาวุโสมากกว่า หลวงพ่อยิด วัตถุมงคลของ หลวงพ่อพาน นอกจากเหรียญรุ่นแรก แล้ว สิ่งที่เป็นสุดยอดแห่งความต้องการของบรรดาลูกศิษย์ ก็คือ ตะกรุดโทน ท่านค่อนข้างพิจารณาแจกมากครับ สำหรับตะกรุดโทนของท่าน หลวงพ่อพาน เกิด วันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2454 ในสกุล พุ่มอำภา เป็นชาวบ้านกล้วย ต.บางเค็ม อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี อุปสมบท ณ.พัทสีมา วัดหนองไม้เหลือง เมื่อปี พ.ศ. 2475 หลวงพ่อพานเป็นชาวจังหวัดเพชรบุรีโดยกำเนิด เป็นพี่น้องกับหลวงพ่อเพลิน วัดหนองไม้เหลืองและได้บวชเรียนที่วัดหนองไม้เหลืองเพชรบุรี หลวงพ่อพานได้มาจำพรรษาที่วัดโป่งกะสังและเป็นเจ้าอาวาสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 ยังเป็นสำนักสงฆ์ หลวงพ่อพานท่านเป็นพระปฏิบัติมีความมุ่งมั่นในการก่อร่างสร้างวัดโป่งกะสัง ที่ยังไม่มีอะไรเลย ให้เป็นวัดที่มีสิ่งต่างๆเกิดขึ้นมากมายจากบารมีของท่าน ท่านได้มรณภาพเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2539รวมอายุ 84 ปี หลวงพ่อพานนี้นะครับ หลวงพ่อยิดยังยกย่อง เรียกพี่ใหญ่หรือพี่เบิ้มนี่แหล่ะ ท่านเอ่ยชมเลยนะครับ หลวงพ่อยิดท่านว่า ของฉันเก่งก็เก่งจริง แต่ถ้าทำไม่ดี เดี๋ยวคุ้มไม่ได้ ของหายบ้าง เสื่อมบ้าง อะไรบ้างแต่ของหลวงพ่อพาน คุ้มได้หมด ได้ขนาดไหน(ท่านอาจจะถาม) ขนาดยิงกรอกปากไม่ออกก็แล้วกันครับ อันตะกรุดท่านนั้น ท่านจะลงจารเองทุกดอก สมัยนั้น ออกมาก็ดอกละพันแล้ว และจะลงในพรรษาเท่านั้น แม้หลวงพ่อเมี้ยน วัดหนองข้าวเหนียว ศิษย์ หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง ก็บอกว่า หลวงพี่พาน ท่านลงน้อยเกินเนอะ ทำแค่ในพรรษาและทำแค่ 108 ดอก เอง อันตะกรุดท่านนั้น แม้ดอกเล็กๆ ก็มีประสบการณ์มาก ขนาดที่ มีผู้ถูกยิง ยิงเท่าไรก็ไม่ออก ปกติยิงเบิกทวาร ไม่มีเหลือครับโดนจับยิงกรอกปาก ปรากฏว่า กระสุนเข้าปาก ฟันหัก แต่กระสุนไปกลิ้งอยู่ในปาก อย่านี้ไงล่ะครับ หลวงพ่อยิดจึงยกย่องมากๆๆๆๆๆ สำหรับตะกรุดโทน มีตำรวจ ที่เมืองเพชร เอาไปใส่ในกระป๋องนม แล้วล้อมยิงสิบกว่กรบอก ยิงไม่ถูกเลย ประสบการณ์อีกเรื่องครับ กิตติศัพท์..ของท่านทราบมาพอสมควรครับ....ผมเองยังแอบ..จีบเพื่อขอ ตะกรุดของท่านจาก..ผู้ร่วมงานที่ทำงานอยู่ที่เดียวกัน...ครับเชื่อหรือ ไม่..ลองมาฟังกันเล่นๆนะครับ...(เล่าสู่กันฟัง)...คนที่ผมพูดถึงคนนี้..โดน เข้ากับตัวเอง...ครับ...มีดปลายแหลมกระซวกเข้าที่..ด้านหน้าท้อง..1 จึ๊ก(ตกกะใจ..หันหลังเพื่อจะวิ่งหนี)..เลยโดนที่ด้านหลังอีก..1 จึ๊ก.(เลิกวิ่งเลยครับ)เพราะคนที่วิ่งคือ(คนที่แทงนั่นแหละครับ)..ต่อหน้า ประชาชี.(กลางวันแสกๆ)..ที่นั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน.ผลปรากฎว่า..เสื้อทะลุ เป็นรู..ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง..ครับ.คมมีดไม่ระคายผิวแต่เจ้าตัวได้แต่ ยืนจุกอยู่ตรงนั้น...(เหตุเกิดเมื่อต้นปีที่แล้ว)...(ส่วนผมขอแบ่งไม่ทัน ครับ... ) หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 09 เมษายน 2555, 14:16:18 ผีไม่เผา...เงาไม่เหยียบ
กาลนั้น สองพี่น้อง ทัพ กับ ทิวได้รับมรดกที่ดินจากตาทอง ผู้พ่อ ผู้ซึ่งจากไปด้วยโรคชรา หากแต่ว่า ทัพ ผู้พี่ได้ที่ดินที่บังเอิญโชคดี ที่ถนนกำลังจะตัดผ่าน ส่วนทิวนั้นฤาได้ที่ดิน แต่เสมือนกับที่ตาบอด หากแต่พ่อผู้ซึ่งล่วงลับ มิได้สนใจคิดในการขายที่กิน เพราะเป็นที่ซื้อขายจับจองแต่ครั้งปะสังปู่ย่านู่น เอาไว้สำหรับปลูกข้าวปลูกอ้อยและเลี้ยงปลาเลี้ยงหมูเลี้ยงชีพยังตน จำเนียนกลาผ่านพ้น ราคาที่ดินพุ่งสูงยังกับยอดตาล แม้เพียงกระผีกวาเดียว เจ้าของก็มิใยรู้สึกว่ามันมีค่าดั่งทองคำ ทิวผู้น้องให้ข่อนใจหนัก หลังจากที่ทิวได้ไปคุยกับทัพผู้พี่ ถึงเรื่องขอที่สำหรับทำทางออก เพื่อที่ของเขาจะได้มีทางออกไปสู่ถนน หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับมาคือ "ไม่ได้" หากสาเหตุจะว่าเกิดจากความโลภของทัพ ผู้พี่ก็หาไม่ แต่มาจากนังอ้อย พี่สะใภ้นั่นมากกว่า คุยกันด้วยดีไม่รู้เรื่องยิ่งนานวันไปยิ่งกลายเป็นเกลียด สองพี่น้องที่เคยแก้ผ้าเล่นน้ำฝน กินขาวหม้อเดียวกัน บัดนี้ ผิดไปจากวันนู้นอย่างสิ้นเชิง "ไอ้ทิว มึงเที่ยวไปโพทนากับชาวบ้าน ว่ากูโกงมึงหรือ" "อ้าวอ้ายหมาทัพ กูไม่เห็นรู้เรื่องอะไรด้วย...." "ไอ้สัตว์กะหมาทิว มึงเรียกูไอ้หมาทัพ เทียวรึ" "อ้อ อ้ายทิวมึงก็หมาจริงอย่างว่ากระมังถึงได้โกรธแบบนี้...." "ไอ้..............................................." มิใช่ครั้งแรกที่พี่น้องคู่นี้ลงไม้ลงมือต่อสู้กันหากแต่เริ่มจะถี่ขึ้นๆจากหมัดเป็นไม้ จากไม้เป็นมีด ภาพเด็กสองคนพี่น้องที่เคยวิ่งเล่นอยู่ริมบ่อน้ำ เมื่อคราครั้งกระนู้น บัดนี้กลับกลายเปลี่ยนเป็น ต่อสู้กันด้วยเรื่องที่ทางเพียงเท่านั้น "ไอ้หมาทิว วันนี้มึงกับกูคงจะเหลือชื่ออยู่เพียงหนึ่งเท่านั้น...." "ได้กันไอ้หมาทัพ ดูซิว่ามึงกะกูใครจะยืนอยู่เป็นคนสุดท้าย..." มิใยที่ชาวบ้านและเมียของแต่ละคนจะทัดทานเอาไว้ หากแต่สองพี่น้องไม่สามารถคุมสติเอาไว้ได้ ราคาที่ดินที่พุ่งพรวดพราดในที่แปลงข้างๆมันยิ่งทำให้ความโลภมันบังตา มีดในมือของ ทัพและทิว ขนาดไม่ต่างกัน คม เงาแปลบปลาบอย่างเกล็ดปลาตะเพียงยามต้องแสงแดดเช้า ทิวผู้น้อง เสือกมีดซุยประจำตัว หมายลิ้นปี่ของทัพ ผู้พี่ หากแต่อีกฝ่ายระวังตัวอยู่แล้ว ฉากออกทางขวาเพียงเล็กน้อย และง้างมีดพร้าในมือ ฟันลงไปสุดแรง มีดที่ถูกลับทุกวัน ฟันขาดแม้กระทั่งกิ่งสะเดาป่าขนาดข้อแขน หากแต่สิ่งที่เกิดขึ้น มีดต้องลงไปที่ผิวหนัง กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น กลับกระเด็นออกไปตามแรงมีดที่ฟันลงมา คนที่ถูกฟังได้สติ ก็จ้วงมีดย้ำเข้าที่หมายอีกที คราวนี้ไม่มีพลาด มีซุยขนาดเหมาะมือ ปักลงกลางลิ้นปี่ ด้วยแรง เสียงดังจนคนที่ยืนดูได้ยินกันถ้วนทั่ว "ปึ๊ก" หากแต่เพียงมีดนั้น หยุดอยู่เพียงผิวหนังของผู้ที่ถูกแทง สองมือมีด ผละออกจากกัน ชาวบ้านที่มามุงดู ต่างร้องหวีด เพราะความหวาดเสียว ผู้ใหญ่บางคนพยายามจะเข้ามาห้ามศึกสองพี่น้อง หากแต่ก็กลัวเกรงในคนมีด จึงทำได้เพียงก่นร้องบอกพูดถึงเรื่องราวครั้งที่พ่อแม่ของทั้งสองยังอยู่ ทั้งสองยังคงฟาดฟันกันด้วยมีดประจำกายของทั้งสอง หากแต่ก็เพียงสร้างความเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย เพราะมีดไม่สามารถจะเถือผ่านร่างของสองพี่น้องไปได้ จนเวลาล่วงมาสักพักใหญ่ เสียงหอบดังๆของพี่น้องทั้งสอง จากความเหน็ดเหนื่อย ต่างแนยกย้ายออกมาอยู่ในมุมจองแต่ละคน ทั่งร่างกายมีร่องรองแดงๆเป็นทาง ยาวบ้างสั้นบ้าง แต่ไม่มีแม้เลือดสักหยด พอคลายตระหนก ผู้คนก็ต่างเข้าไปช่วยกันจับพี่น้องทั้งสองเอาไว้ ด้วยว่าเหนื่อยอ่อนมากแล้ว ทั้งสองจึงแยกย้ายกลับไปบ้านของตน แต่ก็ยังมิวายที่จะท้ายกัน "แน่จริงมึงคายเหรียญอาจารย์ออกมาซิวะ ไอ้ทัพ.." "ชะช้าอ้ายทิว..มึงก็คายเหรียญออกจากปากมึงด้วย แล้วมาเถือกับกูให้รู้ไป..." ชาวบ้านต่างทราบดี พี่น้องสองคน อมเหรียญ "หมูขวาง" ของหลวงพ่อสุรินทร์ แห่งวัดลาดบัวขาวเอาไว้ในปาก หากไม่อย่างนั้น สองพี่น้องคงดับดิ้นสิ้นชื่อไปแล้วทั้งคู่ ด้วยมือของทั่งสองคนนั่นเอง หลังจากวันนั้น สองพี่น้อง ก็ต่างคนต่างอยู่ หากแต่ไม่ได้พบปะพูดคุยเฉกเช่นพี่น้องอื่นๆ ถึงขนาดประกาศว่า "ผีกูไม่ต้องมาเผา เงากูไม่ต้องมาเหยียบ" กันเลยทีเดียว หลังจากวันนั้นได้สิบสองปี ทัพคนพี่ก็เสียชีวิตลงเนื่องจากป่วย แต่ยังดีที่ก่อนตาย พี่น้องได้มีโอกาศพูดคุยและอโหสิให้กันอีกครั้ง และฝากฝังให้ดูและที่ดินและครอบครัวแทนอีกด้วย ทิวผู้น้องรับปากและมอบที่ดินเป็นสาธารณประโยชน์ในกาลต่อมา จนบัดนี้ ทิวเมื่อวันนู้น กลายมาเป็นลุงทิวในวันนี้แล้ว เหรียญหลวงพ่อสุรินทร์ วัดลาดบัวขาวของแกและพี่ชาย ก็ได้มอบให้กับลูกๆของแกเอาไว้ ขอบคุณข้อมูล คุณเอก วัดมาร หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: ykk11 ที่ 09 เมษายน 2555, 15:19:33 สุดยอดทั้งรูปภาพและข้อมูล 017 017 017
หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 10 เมษายน 2555, 16:41:06 ในบรรดาศิษย์สายวัดพะเนียงแตกแล้ว ท่านถือเป็นศิษย์คนสุดท้าย แต่ไม่เคยแม้แต่พบกับหลวงพ่อทา
เนื่องจากเมื่อท่านบรรพชา หลวงพ่อทาสิ้นแล้ว ทำไม ? ท่านถึงได้ชื่อว่าเป็นศิษย์องค์สุดท้ายของหลวงพ่อทา เมื่อท่านบรรพชาแล้ว ในคืนนึง ท่านได้นิมิตรไปว่า หลวงพ่อทา ได้มาหา และบอกให้ท่านไปนำตำราของท่านมาศึกษา เมื่อรุ่งเช้า ท่านได้เดินทางไปที่วัดพะเนียงแตก และบอกกล่าวกับเจ้าอาวาส ตามที่ได้นิมิตรมา เมื่อไปค้นหาตามนิมิตร ปรากฎว่า ท่านได้พบกับตำราพุทธาคม ตามนิมิตร ท่าน จึงนำตำรานั้น มาศึกษาและปฎิบัติตามตำรา แต่เมื่อติดขัดประการใด ท่านก็ได้มาปรึกษากับหลวงพ่อเต๋ ศิษย์พี่ของท่าน จนเชี่ยวชาญและต่อมาท่านได้รับการยอมรับว่า เป็นหนึ่งในศิษย์สายวัดพะเนียงแตก องค์สุดท้าย ชื่อของท่านคือ หลวงพ่อภา วัดสองห้อง เหรียญพิมพ์นี้ ไม่ใช่เหรียญรุ่นแรก เป็นเหรียญรูปเหมือนที่ท่านอนุญาต ให้สร้างขึ้น เป็นเหรียญเนื้ออัลปาก้า แต่ว่าท่านได้ทำการปลุกเสกมวลสาร ก่อนที่จะนำไปรีดเป็นแผ่น เพื่อที่จะมาปั๊มเป็นเหรียญ ในขณะที่ปั๊มเหรียญ ปรากฎว่า เกิดบล็อคแตก เมื่อปั๊มครั้งแรก และเมื่อเปลียนบล็อคใหม่ ก็ปรากฎว่า เหตุการ์ณยังเหมือนเดิม คือ บล็อคแตกทุกบล็อค จนไม่สามารที่จะปั๊มเป็นรูปเหมือนของท่านได้ แต่ว่าทางโรงงานก็ยังคงปั๊มเหรียญต่อไปจนครบจำนวน แต่ว่า ไม่มีเหรียญใด ติดรูปเหมือนของท่านเลยแม้แต่เหรียญเดียว เมื่อทางโรงงานนำเหรียญมามอบให้กับท่าน ท่านก็นำเหรียญเหล่านั้น ไปปลุกเสก แต่ท่านก็ไม่ได้แจกจ่าย แต่ว่า ท่านนำเหรียญไปวางไว้ที่โคนต้นไม้ภายในวัด พร้อมกับกำชับว่า อย่านำไปใช้ เพราะไม่มีรูปใดๆเลย การณ์ กลับตรงกันข้าม มีเด็กวัยรุ่นคึกคะนอง นำเหรียญที่วางทิ้งไว้ไปแขวนติดตัว กลับเกิดประสบการณ์ แคล้วคลาดจากอุบัติเหตุหลายครั้ง จน เป็นที่กล่าวขาน และชาวบ้านละแวกวัด นำพระที่ทิ้งไว้ไปแขวนติดตัวจนหมด ต่างก็พบกับประสบการณ์ แคล้วคลาดมากมาย จึงพากันเรียกขานเหรียญรุ่นนี้ว่า สลายร่าง หลวงพ่อภา ในยุคปี พ.ศ.2530 เหรียญสลายร่าง มีค่านิยมมากว่าเหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อแย้ม ทั้งๆที่ อ.ภา มีอาวุโสน้อยกว่าหลวงพ่อแย้มร่วมหนึ่งรอบ เพราะประสบการณ์ล้วนๆ พระเครื่องหรือเครื่องรางใด ถ้าท้องถิ่นไม่นิยมและศรัทธา ก็ไม่ต้องเก็บ เสียเวลาเปล่า แต่กับเหรียญสลายร่างแล้ว กลับเป็นตรงกันข้าม ปัจจุบันนี้ เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อแย้ม ค่านิยมเกือบสามหมื่น ในเหรียญเนื้อทองแดง แต่ว่า เหรียญสลายร่าง ค่านิยมแค่ พันเศษเท่านั้นเอง เหรียญสลายร่าง มีแต่เนื้ออัลปาก้า มีทั้งจารและไม่มีจาร แต่ไม่มีของเก๊ ถ้าพบเจอในสนาม อย่าปล่อยผ่าน เพราะนั่นคือ ของดี ที่คุ้มครองชีวิตเพื่อนๆสมาชิกได้ ขอให้ทุกท่านโชคดี ได้พบเจอ เหรียญสลายร่าง หลวงพ่อภา วัดสองห้อง กำแพงแสน นครปฐม หมายเหตุ: หลวงพ่อภา ถาวโร เป็นศิษย์หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง หลวงพ่อสด วัดปากน้ำฯ ศิษย์รุ่นพี่สายวัดตาก้อง หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม หลวงพ่อเต้า วัดเกาะวังไทร ฯลฯ ขอบคุณข้อมูล คุณเจริญสิทธิ์ หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 10 เมษายน 2555, 17:05:18 เพิ่มเติม ประสบการณ์ตรง จากรุ่นน้องคนกำแพงแสน และหลวงพ่อเป็นอุปัชฌาย์บวชให้
"ผมเคยบวชอยู่วัดสองห้อง ก่อนหลวงพ่อมรณะภาพครับ ท่านมีเจโตปริยญาณคือหยั่งรู้จิตใจคน ผมโดนมาเยอะ หลวงพ่อเคยบอกว่าพระของกูยิงไม่ออกถึงยิงออกก็ไม่เข้าเหล็กไหลเหนียวอย่าง เดียวพระนี้มีครบทุกอย่างแต่ต้องอาราธนาใช้ ถ้ามีเคราะห์เต็มที่เนื้อแตกหนังแตกกระดูกไม่แตก ผมเคยมอไซค์ล้ม ความเร็วประมาณร้อยหนึ่งครูดกับถนน กลิ้งเป็นลูกขนุน โชคดีสิบล้อตามมาหักหลบทัน เสื้อผ้าขาดกระรุ่งกระริ่ง แขนขาถลอกปลอกเปิดแต่ไม่มีเลือดไหลซักหยด มีแต่น้ำเหลืองไหลซิ๊บๆ" หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 10 เมษายน 2555, 17:14:12 เหรียญพิมพ์ยกมือ และพิมพ์ยกมือนั่งทับปืน ถือ เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของสายวัดตาก้องเท่านั้น ศิษย์สายนี้ถ้าไม่มั่นใจในพุทธคุณด้านมหาอุตม์ ไม่มีใครกล้าสร้างเหรียญพิมพ์นี้ศิษย์สายวัดตาก้องที่สร้างเหรียญพิมพ์นี้ ไม่ว่าจะเป็น หลวงพ่อเต๋ หลวงพ่อเต้า อาจารย์ภา หรือแม้กระทั่งหลวงพ่อพุฒิ ล้วนแล้วแต่เป็นเลิศในด้านมหาอุตม์ ทุกองค์
เหรียญปืนไขว้ พิมพ์นิยมของหลวงพ่อภา วัดสองห้อง หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 15 เมษายน 2555, 10:29:13 พระเครื่่องสู้ปืน พระปิดทวารโฆษปัญโญ ของหลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญปกติถ้าเป็นพระเนื้อผงแล้วมักกระจุยเป็นฝุ่นทั้งนั้น แต่พระปิดทวารโฆษปัญโญแม้จะแหลกละเอียดไป แต่หัวกระสุนกลับปักคาอยู่กับพระ ไม่ทะลุผ่านพระไปได้
หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: Agri_07 ที่ 15 เมษายน 2555, 10:33:46 008 008 008 แจ่มมากครับพี่ท่าน ขอบคุณมากครับ
@หนุ่มสิงห์บางระจัน 007 007 หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: Agri_07 ที่ 15 เมษายน 2555, 10:43:04 พระเครื่่องสู้ปืน พระปิดทวารโฆษปัญโญ ของหลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญปกติถ้าเป็นพระเนื้อผงแล้วมักกระจุยเป็นฝุ่นทั้งนั้น แต่พระปิดทวารโฆษปัญโญแม้จะแหลกละเอียดไป แต่หัวกระสุนกลับปักคาอยู่กับพระ ไม่ทะลุผ่านพระไปได้ จัดสร้างปีไหนครับพี่ท่าน @หนุ่มสิงห์บางระจัน 007 007 หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 15 เมษายน 2555, 10:43:36 สภาพหลังยิง ซึ่งห่อด้วยกระดาษเช็ดหน้าและบรรจุใส่ซองพลาสติก แสดงทิศทางด้านกระสุนเข้า และกำลังจะออก แต่กระสุนกลับปักคาองค์พระที่แตกละเอียด เรียกว่าหยุดหัวกระสุนไว้ได้อย่างอัศจรรย์ที่สุด นี่นับเป็นเรื่องที่ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ พระเนื้อผงไหนเลยจะมีให้หัวกระสุนปักคาได้อย่างที่เห็น
ข้อมูล อำพล เจน หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 15 เมษายน 2555, 10:47:13 พระเครื่่องสู้ปืน พระปิดทวารโฆษปัญโญ ของหลวงปู่คำพันธ์ โฆษปัญโญปกติถ้าเป็นพระเนื้อผงแล้วมักกระจุยเป็นฝุ่นทั้งนั้น แต่พระปิดทวารโฆษปัญโญแม้จะแหลกละเอียดไป แต่หัวกระสุนกลับปักคาอยู่กับพระ ไม่ทะลุผ่านพระไปได้ จัดสร้างปีไหนครับพี่ท่าน @หนุ่มสิงห์บางระจัน 007 007 หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: Agri_07 ที่ 15 เมษายน 2555, 10:52:36 ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูลปีพ.ศ.จัดสร้างครับ
ผมมีพระปิดตาของหลวงปู่คำพันธ์ เป็นลอยองค์เนื้อนวะโลหะครับ @หนุ่มสิงห์บางระจัน 007 007 หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 16 เมษายน 2555, 12:11:42 หลวงพ่อคำ ชาตสุโข รุ่นระเบิดลง
รุ่นนี้ราวปี2522 พี่เขยชื่อตาเซียน ไปบ้านคนชื่อตาวาลย์ไปเล่นไพ่ ตอนนั้นเวลาประมาณ0.05 เลยเที่ยงคืนมาเล็กน้อย พี่เขยผมเล่นหมดเงินก่อนและจะไปดักหนู เดินลงบันไดมาบ้านตาวาลย์มาได้สัก20ก้าว ก็ได้ยินเสียตูมสนั่น พี่ชายผมก็มีแหวนหลวงพ่อคำติดที่นิ้ว หากจะนับจริงๆก็ถือว่าเป็นอีก1คนที่รอดชีวิตเพราะถือว่าแคล้วคลาด แต่ที่โดนหนักๆ ที่อยู่ในวงไพ่ก็รอดไป2คนจาก7คน เล่นไพ่ในห้องที่มีขนาดประมาณ 5x5เมตร 1ในนั้นเอาระเบิดมาหยอกล้อกับเพื่อน ก็สลักหลุดกลิ้งไปหาวงไพ่ ก็อยู่ในห้องเดียวกัน คนทำระเบิดหลุดมือก็ตายครับ สภาพบ้านไขมันและเลือดมนุษย์ติดตามพื้นและผนัง ส่วนหลังคาสังกะสี เปิดโล่งออกเนื่องจากแรงระเบิด ลองหลับตาคิดถึงห้องขนาดประมาณ5x5เมตร ที่มีระเปิดอยู่นะครับ ว่ามันจะหนีไปทางไหนได้ ตาจงปัจจุบันเป็นผู้ใหญ่บ้าน รอดครับแขวนรูปหล่อรุ่นนี้ หูแกไม่ดีเพราะแรงอัดระเบิดไป1ข้าง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ใหญ่บ้านหมู่4 ตำบลท่าฉนวน อ.มโนรามย์ จ.ชัยนาท อีกคนชื่อตาอะไรผมจำไม่ได้ไว้กลับบ้านจะไปถามพ่ออีกที นั้นก็รอดแต่เสื้อขาดเพราะสะเก็ดระเบิดรายนั้นมีตะกรุด ปัจุบันเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนอีกคนเด็กที่อยู่บนตักแม่แขวนรูปหล่อทองแดงรอด แต่แม่ตัวขาดไปครึ่งเพราะระเบิดๆชนิดนี้ เวลาระเบิด จะเฉียงขึ้นทำให้ส่วนเหนือเอวหายไป ศพไปเผาที่วัดจวน ต.ท่าฉนวน ส่วนสภาพบ้านตาวาลย์ ขนาดว่าเอาน้ำร้อน ราด และทำความสะอาดก็ยังไม่ไหว เลยต้องรื้อออกบางส่วนไปถวายให้วัดโรงช้าง ต. ท่าฉนวน ดึกวันนั้น ขณะเกิดเรื่อง ชาวบ้านไม่รู้เรื่อง นึกว่าฟ้าผ่า พอราวๆตี4-5 คนถึงเริ่มมา คนเยอะชนิดที่ว่าคณะลิเกดังๆมาเปิดงานละเล่น สายๆนิมนต์หลวงพ่อคำมาปัดรังควาน จนทำให้วัตถุมงคลพ่อคำโด่งดังสุดขีดในขณะนั้น ในปี2524 เป็นงานฉลองพระอุโบสถ์ฝังลูกนิมิต และวัตถุมงคลหลวงพ่อออกมามากที่สุดในยุคนั้น ครั้งนี้ผมเขียนเรื่องราวเหตุการที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด บางคนอาจคิดว่าผมฉายหนัง ผมถึงเขียนชื่อคนที่รอดชีวิต และบ้านของคนที่เกิดเหตุ หากใครได้ไปบริเวณ หมู่4 ต. ท่าฉนวน หรือไปถามผู้ใหญ่จงดูครับ ว่าจริงไหม และคนที่รอดชีวิต ทั้ง2คนอ้อเด้กด้วย มีเพียงวัตถุมงคลพ่อคำแค่อย่างละชิ้นเท่านั้น เป็นเพียง1ในหลายๆเรื่องราว ประสบการณืที่เกิดขึ้นให้ผู้คนรอดชีวิต จากอีกหลายๆเหตุการ ทั้งนครสวรรค์ รถชนประสานงา สายเอเซียน ทั้งสงครามเขาค้อ ทั้งตชด. อุทัยธานี บารมีพ่อคำคุ้มครอง เพราะผมเชื่อว่าคนที่อายุ60ในปัจุบัน ทั้งหมู่บ้าน หมู่4 หรือที่เรียกว่า บ้านหลั่น จะเป็นพยานให้ผมได้ทั้งหมู่บ้านครับ รูปหล่อหลวงพ่อคำ ชาตสุโข แขนทะลุ รุ่นระเบิดลง จำนวนสร้างประมาณ 200 องค์ หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 16 เมษายน 2555, 12:16:55 ตะกรุดโทน รุ่นฟ้าชาย เนื่องจากตามประวัติความเป็นมา ของคนในพื้นที่ละแวกวัด ได้เล่าขานไว้ว่าความขลังและคงกระพันของหลวงพ่อคำ ได้ไปคุ้มครองชีวิต ของทหารตชด. รู้ไปถึงองค์ฟ้าชายจนท่านเอง ได้ทรงฮอมาขอรับตะกรุดจากหลวงพ่อคำ จึงตั้งชื่อตะกรุด ชุดนี้ ว่า รุ่นฟ้าชาย (เป็นการเรียกของคนในพื้นที่บอกรุ่นฟ้าชายจะรู้ทันที)
แม้แต่คนที่จ.อุทัยไปเที่ยวหาหลวงปู่แหวน หลวงปู่แหวนถามว่าโยมมาจากไหน คนที่ไปหาบอกว่ามาจากจ.อุทัย หลวงปู่แหวน ยังบอกว่า...หากอยู่อุทัย ไม่ต้องมาหาฉันหรอก ให้ไปหาท่านคำ ข้อมูล คุณสิทธิ์พยุหะ ตะกรุดโทน รุ่นฟ้าชาย หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 18 เมษายน 2555, 13:14:09 เหรียญหลวงปู่จันทร์ วัดศรีเทพประดิษฐาราม รุ่นสุดท้าย พ.ศ.2515
วัตถุมงคล "หลวงปู่จันทร์" หรือ "พระเทพสิทธาจารย์" พระเถรานุเถระชื่อดังแห่งวัดศรีเทพประดิษฐาราม อ.เมือง จ.นครพนม ในฐานะศิษย์เอกของพระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล รุ่นยันต์ขาด พระธรรมบัณฑิต (ศิลา สิทธิธัมโม) วัดนรนาถสุนทริการาม กรุงเทพฯ เป็นผู้ดำเนินการสร้างเมื่อปี 2515 โดยมีวัตถุประสงค์แจกให้ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคสมทบทุนสร้างโรงเรียนพระปริยัติ และเป็นทุนการศึกษาพระภิกษุ-สามเณร เรียนบาลี สำนักเรียนวัดศรีเทพฯ สำหรับเหรียญยันต์ขาดเป็นเนื้อทองแดงรมดำ ด้านหน้ามีภาพเหมือนหลวงปู่ครึ่งตัว ตัวหนังสือนูนระบุข้าง หลวงปู่พระเทพสิทธาจารย์ (จันทร์ เขมิยเถระ) ด้านหลังแตกต่างจากยันต์วัดบล็อก 1 คือ มียันต์ 8 ทิศ ซึ่งมีพระเจ้า 5 องค์คุ้มครอง ด้างล่างจากซ้ายสุดยันต์จะขาดหายไป เซียนพระ เรียก "อุ" หาย ระบุ พ.ศ.สร้างอยู่ด้านล่าง หลวงปู่จันทร์ได้นั่งอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวในพิธีมังคลาภิเษกในอุโบสถ เสร็จเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 หลวงปู่จันทร์เปรยกับลูกศิษย์ว่า เสกเข้าพรรษา หลังออกพรรษาให้มารับ คาดว่าน่าจะเสกครบ 1 ไตรมาส เหรียญหลวงปู่จันทร์มีข้อห้ามสำคัญ มิให้แขวนคอคู่กับพระพุทธรูป ซึ่งเป็นพระศาสดา และห้ามห้อยคู่ตีเสมอกับหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ซึ่งเป็นพระอาจารย์ ประสบการณ์เหรียญ รุ่นยันต์ขาด เรื่องมีอยู่ว่า บุตรของหมอพิณ ศรีศิริ ชาวนครนายก ทำงานก่อสร้างในกรุงเทพฯ วันหนึ่งขณะที่เดินทางไปทำงานตามปกติจะไปที่ทำงานในซอยหลังสถานีขนส่งเอกมัย ระหว่างที่เดินอยู่ในซอยได้สวนทางกับวัยรุ่น 2 คน พอเดินคล้อยหลังกันไป ก็มีเสียงหนึ่งในสองคนนั้นพูดขึ้นว่า ? คนนี้แหละใช่แล้ว? หลังจากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น 2 นัดซ้อน บุตรหมอพิณถึงกับล้มลงทันที ส่วนมือปืนก็วิ่งหนีไป พอสำรวจที่ตัวกลับไม่ปรากฏว่าได้รับอันตรายอะไร แต่บริเวณอกเสื้อมีรอยกระสุน 1 รู และมา ตรงกันพอดีเป๊ะ 2 นัดเข้ารูเดียวกัน ซึ่งมือปืนไม่น่าจะแม่นขนาดนั้น หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: pnm ที่ 18 เมษายน 2555, 21:52:50 สภาพหลังยิง ซึ่งห่อด้วยกระดาษเช็ดหน้าและบรรจุใส่ซองพลาสติก แสดงทิศทางด้านกระสุนเข้า และกำลังจะออก แต่กระสุนกลับปักคาองค์พระที่แตกละเอียด เรียกว่าหยุดหัวกระสุนไว้ได้อย่างอัศจรรย์ที่สุด นี่นับเป็นเรื่องที่ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ พระเนื้อผงไหนเลยจะมีให้หัวกระสุนปักคาได้อย่างที่เห็น ดีปานได๋กะบ่ขอลองเด้อ 013 013ข้อมูล อำพล เจน หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 19 เมษายน 2555, 07:28:23 เหรียญรุ่น 4 ไม่ทันหลวงปู่ เซียนพระเรียกว่า เหรียญตาย ผู้เป็นเจ้าของประสบการณ์นี้เป็นแม่ค้าเข็นรถขายของเลี้ยงชีพ ใครเลยจะนึกว่าวันฝนตกวันนั้น จะทำให้เธอเฉียดความตายอย่างไม่รู้ตัว คือขณะที่เธอกางร่มหลบ ฝนที่กำลังตกหนาเม็ดอยู่ที่รถเข็นนั้น พลัน ฟ้าผ่าเปรี้ยง ลงกลางหลังคารถเข็น อานุภาพของฟ้าผ่านั้นมีผลทำให้รถเข็นนั้นย่อยยับไปทันที แต่ผู้เป็นเจ้าของกลับไม่ได้รับอันตรายใดๆ กล้าประกาศได้ว่า เพราปาฏิหาริย์โดยแท้
ยกเอานามผู้เสกมาอรรถาธิบายปาฏิหาริย์นั้นจะพบความกระจ่าง หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล คือนามนั้น หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 22 เมษายน 2555, 16:23:16 ?ยันต์วิรุฬจำบัง?
หลวงพ่อคง วัดบางกระพร้อม ได้จัดสร้างขึ้นเป็นเสื้อจึงได้เรียกกันว่า ?เสื้อยันต์วิรุฬจำบัง? ให้กับลูกศิษย์ของท่านชื่อว่า แกละ เพื่อติดตัวไปเป็นทหารรับใช้ประเทศชาติ ต่อมาออกจากราชการทหาร กลายมาเป็นเสือแกละออกเที่ยวปล้นจนมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองแม่กลอง ตำรวจได้ทราบแหล่งกบดานของเสือแกละจึงได้เข้าล้อมจับ และต่อสู้กัน หลายครั้งต่อหลายครั้งไม่สามารถเข้าจับกุมได้ เพราะเสือแกละได้ใช้เสื้อยันต์วิรุฬจำบังเดินฝ่าวงล้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อย่างง่ายดายโดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เห็นตัว หลวงพ่อคง ท่านรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้สร้างเสื้อยันต์ให้กับเสือแกละ โดยมิได้ตั้งข้อห้าม หรือให้สัตย์สาบาน จึงได้เรียกเสือแกละมาพบ และสุดท้ายเสือแกละได้สาบานเลิกปล้น พร้อมกับคืนเสื้อยันต์ให้กับหลวงพ่อ เสื้อยันต์ที่สร้างขึ้นเป็นรุ่นแรก เป็นเสื้อกั๊กกำมะหยี่ดำ ด้านในเป็นผ้าสีขาว มีกระดุม ๕ เม็ด ต่อมาได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ขึ้น ลูกศิษย์จึงเกิดความต้องการมากไม่เพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้นหลวงพ่อท่านจึงได้นำผ้าดิบหนาย้อมดำซับด้วยผ้าดิบขาว เพื่อให้พอต่อความต้องการ โดยได้นำเสื้อมาลงยันต์และเพิ่มยันต์เกราะแก้วว่า พุทธัง เพชรคงคัง อิมังพันธัอธิษฐามิ เข้าไปด้วยเพื่อกันระเบิด กระดุมเริ่มหายากจึงได้ใช้เชือกมัดแทน เสื้อนั้นจะมีเฉพาะสีขาวดำเท่านั้น และจะลงอักขระมีทั้งแบบหมึกและดินสอ ยันต์วิรุฬจำบัง เป็นวิชาการบังกาย หายตัวได้อึดใจหนึ่ง คือเมื่อเกิดเหตุการณ์คับขัน ให้กลั้นใจ แล้วว่าคาถา วิรุฬจำบัง ข้าศึกจะมองไม่เห็นทั้งตัวทั้งเงา ไปได้ชั่วอึดใจ ชั่วอึดใจหนึ่งนี้เขาไม่สามารถมองเห็นเราได้ นี่ก็คือการใช้พลังจิตอย่างหนึ่ง หลวงพ่อคงท่านได้ไปศึกษาวิชาการทำตะกรุดวิรุฬจำบัง จากหลวงพ่อปาน วัดโรงธรรม การที่นำเอาตัวละครในเรื่อง ?รามเกียรติ์? นำมาใช้เขียนยันต์ เชื่อว่าภาพนั้นจะมีพุทธคุณโดดเด่นเช่นเดียวกับตัวละคร มีเรื่องราวว่า วิรุฬจำบัง เป็นโอรสของพญาทูษณ์ กษัตริย์เมืองจารึก องค์ที่ 1 ของท้าวลัสเตียนกับนางรัชฎา น้องชายร่วมบิดามาดาของทศกัณฐ์ วิรุฬจำบัง มีม้าทรงคู่ใจตัวดำปากแดงชื่อ นิลพาหุ ซึ่งสามารถหายตัวได้ทั้งตนและม้า วิรุฬจำบัง รับอาสาทศกัณฐ์ ยกทัพไปทำสงครามกับพระราม และพลวานรซึ่งมุ่งหน้ามาที่กรุงลงกาเพื่อทวงนาสีดาคืน โดยไปสมทบกับท้าวสัทธาสูร เจ้าเมืองอัสดง สหายอีกตนของ ทศกัณฐ์ ซึ่งต่อมาได้ถูกฆ่าตาย เมื่อวิรุฬจำบัง ไปรบ พลยักษ์ถูกพลวานรฆ่าตายหมด วิรุฬจำบัง ผู้เป็นแม่ทัพจึงร่ายเวทมนต์กำบังตัวเองและม้า เข้าไปสังหารฝ่ายวานรล้มตายจำนวนมาก พระรามเห็นความไม่ชอบมาพากลจึงตรัสถาม พิเภก พิเภกจึงได้ตอบว่าขณะนี้ วิรุฬจำบัง ใช้เวทมนต์หายตัวเข้ามาในกองทัพ พิเภก ถวายคำแนะนำ ให้ พระราม แผลงศรไปฆ่าม้านิลพาหุเสีย เมื่อพระรามแผลงศรพรหมาสตร์ออกไปถูกม้าทรงของวิรุฬจำบังตาย วิรุฬจำบัง เห็นว่าสู้ไม่ได้จึงคิดหนี โดยร่ายเวทมนต์เสกผ้าโพกศีรษะเป็นหุ้นพยนต์ซึ่งมีรูปกายเหมือนตน แล้วหลบหนีไปจนพบนาง วานรินทร์ ที่ในถ้ำกลางป่า นางวานรินทร์ แนะให้ไปซ่อนตัวอยู่ในฟองน้ำที่นทีสีทันดร ฝ่ายพระรามทรงรู้กลศึก แผลงศรเป็นตาข่ายเพชรทำลายรูปนิมิต แล้วสั่งให้หนุมานติดตามไปสังหาร หนุมานติดตามจนมาจนได้พบกับ นางวานรินทร์ เข้าเกี้ยวพาราสี และทราบว่าเป็นนางฟ้าที่ทำผิดจึงได้ถูกสาป เนื่องจากมีหน้าที่รักษาประทีป แล้วปล่อยให้ประทีปดับ และจะพ้นคำสาปเมื่อได้พบทหารเอกของพระราม เมื่อนางวานรินทร์ บอกที่ซ่อนของวิรุฬจำบัง แล้วจึงถูกส่งกลับสวรรค์ หนุมานจึงตามไปสังหารวิรุฬจำบังได้สำเร็จ หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 08 กรกฎาคม 2555, 22:41:11 จำเรียง ปางมณี" หรือ "เสือเรียง 5 นัด" แห่งบางแม่นาง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี น้อยคนจะไม่รู้จักเขาในฐานะที่เป็นจอมโจรขมังเวท ผู้ก่อคดีอย่างอุกอาจท้าทายกฎหมายบ้านเมือง โหดเหี้ยมไร้ความปรานีต่อเหยื่อ และรอดพ้นเงื้อมมือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองไปได้ราวกับปาฏิหาริย์ จอมโจรขมังเวทแห่งเมืองนนท์ เสือ เรียงใช้ปืนบาเร็ตต้าเป็นอาวุธประจำกาย ก่อนปล้นเขาจะยิงปืนขึ้นฟ้า 5 นัด เป็นการเบิกฤกษ์ และก่อนพาพวกถอยหนีก็จะยิงขึ้นฟ้าอีก 5 นัด จนได้รับการขนานนามในเวลาต่อมาว่า "เสือเรียง 5 นัด" พฤติกรรม โหดเหี้ยมไร้ความปรานีแม้เหยื่อจะยอมจำนนเช่นนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างตีพิมพ์ข่าวสร้างความหวาดผวาไปทั่วทุกหัวระแหงของ จ.ธนบุรี ร้อนถึง พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อธิบดีกรมตำรวจ เรียกตำรวจ 4 สน. ตามล่านอกจากความโหด เหี้ยมไร้ความปรานีปราศรัยแล้ว เสือเรียงยังขึ้นชื่อในด้านยิงปืนแม่นด้วย ตำรวจหลายนายออกมายืนยันบนหน้าหนังสือพิมพ์ถึงความแม่นยำใน การยิงปืน ปาฏิหาริย์ และเวทมนตร์คาถาของเสือเรียง หนักสุดถึงกับว่าหายตัวไปต่อหน้าต่อตาก็มี กระสุนปืนทำอะไรไม่ได้เลย
สุดท้าย สิ้นลายด้วยปืนเจ้า พลตำรวจพุ่ม ทิมเจริญ ใช้อาวุธประจำกายเป็นปืนเล็กยาวบรรจุเองแบบ 66 ซึ่งคนสมัยเก่ารู้ดีว่าเป็นปืนโบราณหรือที่เรียกกันติดปากว่าปืนเจ้า เคยผ่านการทำพิธีรดน้ำพระพุทธมนต์หลวง หลังจากสั่งซื้อมาจากต่างประเทศในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ทำให้เชื่อกันว่าปืนชนิดนี้มีพลานุภาพ สามารถยิงทำลายขุนโจรที่มีคาถาอาคมของลงอักขระของขลังได้ชะงัดนัก สภาพ ศพเสือเรียงกำปืนบาเร็ตต้าคู่กายเอาไว้แน่น กระสุนอีกจำนวนมาก ข้างเอวปรากฏปืนออโตเมติกโคลท์ 9 มม. กระสุนเต็มแมกกาซีน บนผมเหน็บหวีอยู่ 1 อัน บริเวณคอแขวนพระเครื่องกว่า 20 องค์เป็นพวงใหญ่ เสือจำเรียง ปางมณี หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 08 กรกฎาคม 2555, 22:47:12 พลตำรวจพุ่ม ทิมเจริญ
หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 09 กรกฎาคม 2555, 20:39:09 เสกปูนป้ายคอเป็นวิชาอย่างหนึ่งอยู่ในสายของวิชาคงกระพัน คือการเอาปูนที่กินกับหมาก มาเสกแล้วป้ายที่ลูกกระเดือกจะทำให้ร่างกายอยู่ยงคงกระพัน ผู้ที่ทำได้ขลังๆนั้นถึงกับเอาเคียวเกี่ยวข้าวมาเกี่ยวคอเล่น หนักเข้าถึงกับเคียวหักเลยทีเดียวหากท่านผู้ใดที่ได้เคยเรียนวิชานี้มา แล้วอยากทดลองว่าวิชาที่เรียนมานั้นใช้ได้หรือยัง ท่านมีเคล็ดลับโดยให้เอาปูนที่เสกนั้น มาป้ายลิ้นดู หากรู้สึกว่าปูนยังกัดลิ้นอยู่ยังใช้การไม่ได้ ให้เสกใหม่เสกไปจนกว่า ปูนนั้นเมื่อนำมาป้ายลิ้นแล้ว จะรู้สึกจืดสนิท ไม่กัดลิ้นเลย นั่นแหละใช้การได้แล้ว ร่างกายจะอยู่ยงคงกระพันทีเดียว เสกปูนคาดคอด้วย อิติมัตติยา มัตติภะเว ของหลวงปู่ศุข หรือ อุนุยัง เสกแล้วป้ายคอถ้าทำด้วยใจเชื่อแล้วก็จิตนิ่งไม่เข้าแนนอน
เสกของกิน อาพัด เช่นหมาก เหล้า หรือที่เรียกว่า ข้าวเป็นต้นเช่น เสกหมากกินใช้การหัวใจ นิพพานจักกรีว่า อิ สะ วิ ระ มะ สา พุ เท วาเป็นต้น เสกเหล้าด้วยคาถา4เกลอว่า กะระมะถะ กิริมิถิ กุรุมุถุ เกเรเมเถนอกจากจะเหนียวแล้วถ้าเสกแค่3ประโยคแรกจะเมาช้า ถ้าเสก4 แถวแล้ววางไว้ให้คนอื่นในวงกินเป็นอันตีกัน ส่วนเสกข้าวใช้หัวใจปฏิสังขาโยว่า จิ ปิ เส คิ ว่ากันว่าเสือจำเรียง 5 นัด เคยใช้คาถาเสกปูนป้ายคอ หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: MaiUbon ที่ 09 กรกฎาคม 2555, 22:37:08 พระเครื่อง ที่มีองค์พระขนาดค่อนข้างใหญ่ ส่วนมากมักจะเรียกกันว่า พระหลวงพ่อโต และที่รู้จักกันดี ก็คือ พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง ต.หัวเวียง อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระเนื้อดินเผา มีทั้งชนิดเนื้อละเอียดและเนื้อค่อนข้างหยาบ รวมทั้งมีพระเนื้อชินปะปนอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก
นอกจากกรุวัดบางกระทิงแล้ว พระหลวงพ่อโตยังพบตามกรุวัดต่างๆ ทั้งใน จ.พระนครศรีอยุธยา และจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งบางวัดในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นพระที่นำมาฝากกรุในภายหลัง พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง เป็นพระที่มีจำนวนสร้างมาก คาดว่าน่าจะเท่ากับ พระธรรมขันธ์ คือ ๘๔,๐๐๐ องค์ หรือมากกว่านั้น ทำให้พบเห็นโดยทั่วไป ในส่วนพระเนื้อดิน นับเป็นเนื้อดินที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองอยุธยาโดยเฉพาะ ราคาเช่าหาไม่แพงนัก แต่ที่สวยคมชัดมากๆ อาจจะมีราคาที่สูงกว่าพระทั่วๆ ไป พุทธศิลป์ เป็นฝีมือของช่างสมัยอยุธยา อายุกว่า ๔๐๐ ปี ชาวอยุธยารุ่นเก่าๆ เล่าว่า สมัยก่อนบริเวณวัดบางกระทิง มักพบพระหลวงพ่อโตตกหล่นอยู่ตามพื้นดินตามลานวัดโดยทั่วไป คนสมัยก่อนไม่นิยมนำพระเข้าบ้าน เมื่อนำพระมาใช้ติดตัวยามไปไหนมาไหน หรือนำออกสู้รบในสงครามเสร็จแล้ว ก็มักจะนำพระกลับมาเก็บไว้ที่วัดเหมือนเดิม สำหรับการแตกกรุของ พระหลวงพ่อโต นั้น ก่อนหน้านี้ไม่ปรากฏหลักฐาน แต่ที่ทางวัดเปิดกรุอย่างเป็นการ คือในปี ๒๔๘๑ ขณะรื้อโบสถ์เก่าเพื่อสร้างใหม่ จึงได้พบพระหลวงพ่อโต บรรจุอยู่ใต้ฐานพระประธาน ทางวัดจึงได้นำพระส่วนหนึ่งออกมาแจกสมนาคุณแก่ชาวบ้าน ที่ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์หลังใหม่ ส่วนพระที่เหลือได้นำบรรจุที่ฐานพระประธานในโบสถ์หลังใหม่ ในการพบกรุพระหลวงพ่อโต ครั้งนั้นได้พบ แม่พิมพ์ ของพระหลวงพ่อโตด้วย ต่อมาได้มีคนร้ายแอบขุดพระหลวงพ่อโต ที่ใต้ฐานพระประธานได้ไปจำนวนหนึ่ง พร้อมกับเอาแม่พิมพ์เก่าไปด้วย ทางวัดจึงได้เปิดกรุพระอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้คนร้ายแอบลักขุดขโมยพระได้อีก การขุดกรุครั้งนี้ ได้พบ พระหลวงพ่อโต อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนละส่วนกับที่ขุดได้ในครั้งก่อน ทางวัดได้ให้กรมศิลปากร ตรวจสอบ ปรากฏว่า พระหลวงพ่อโต ในส่วนนี้เป็นการสร้างขึ้นภายหลัง ในสมัยรัตนโกสินทร์ เนื่องจากเนื้อหามวลสารแตกต่างกัน และอายุความเก่าไม่ถึงสมัยอยุธยา ไม่เหมือนกับพระหลวงพ่อโตที่ขุดพบก่อนหน้านี้ พระหลวงพ่อโต มีสัณฐานเป็นรูปสามเหลี่ยม องค์พระประทับนั่งขัดสมาธิราบ บนฐานบัวคว่ำบัวหงาย มีทั้งปางสมาธิ และ ปางมารวิชัย องค์พระคมชัดนูนเด่น พระพักตร์ใหญ่ และมักปรากฏรายละเอียดต่างๆ บนพระพักตร์อย่างครบถ้วน รวมทั้งเส้นสังฆาฏิ ด้านหลังองค์พระ ส่วนใหญ่มีรอยปาด ที่เรียกกันว่า "รอยกาบหมาก" พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง มีของปลอมมานานแล้ว ทั้งที่ถอดพิมพ์ หรือสร้างแม่พิมพ์ขึ้นมาใหม่ รวมทั้งส่วนหนึ่งที่คนร้ายได้ขโมยแม่พิมพ์เก่าไป ได้เอาไปกดพิมพ์พระกันใหม่ ก็เป็นอีกฝีมือหนึ่งที่คนร้ายได้ทำ พระปลอม วางขายกันมาโดยตลอด การพิจารณาจากพิมพ์ทรงองค์พระ จึงอาจจะมีปัญหา เพราะ พระปลอม ส่วนหนึ่งมักจะมีจุดตำหนิเหมือนกับ พระแท้ มาก สิ่งที่ต้องยึดเป็นหลักในการพิจารณา คือ เนื้อพระ ที่ไม่สามารถทำได้เหมือน โดยเฉพาะ ความเก่า ที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ ซึ่งย่อมแตกต่างกับ ความเก่าที่แปลกปลอม อันเกิดมาจากการเร่งทำปฏิกิริยาด้วยน้ำยาทางเคมี หรือการเผาไปที่เป็นไปอย่างเร่งรีบ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาท หรือถามผู้รู้ไว้ก่อน ก็ย่อมจะปลอดภัยจาก พระปลอม ได้ในระดับหนึ่ง พระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิง เป็นพระที่ชายชาตรีสมัยก่อน หรือนักเลงโบราณ นิยมกันแขวนโชว์นอกเสื้อมานานแล้ว ด้วยความเชื่อมั่นในพุทธคุณ ที่เลื่องลือกันมานานแล้วว่า เป็นพระคงกระพันชาตรี มหาอุด ปืนผาหน้าไม้ทำอะไรไม่ได้เลย ขณะเดียวกัน คนสมัยใหม่ต่างยืนยันว่า ทางด้านเมตตามหานิยมก็เป็นเลิศ ที่สำคัญ คือ พระหลวงพ่อโต ที่เป็นของเก่า สร้างในสมัยอยุธยา เป็นพระเนื้อดินเผาที่ยึดเป็น เนื้อครู สำหรับการศึกษาพระเนื้อดินสมัยอยุธยาได้เป็นอย่างดี หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 29 กันยายน 2555, 17:21:35 พระหูยานลพบุรี สร้างเมื่อสมัยขอมยังเรืองอำนาจในแผ่นดิน ถ้าดูจากลักษณะของศิลปะพิมพ์เป็นพระที่สร้างอยู่ในยุคสมัยของขอมละโว้ อยู่ในราว 700 ปีเป็นอย่างต่ำ
พระหูยาน เป็นพระพิมพ์เนื้อชิน ส่วนพุทธลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ทรงประทับนั่งอยู่บนบัลลังก์ บัวเล็บช้าง แบบชั้นเดียวและสองชั้น (บัวคว่ำ-บัวหงาย) พระเกศเป็นรูปบัวตูม มีลักษณะพระพักตร์ที่ดูเคร่งขรึม พระพักตร์คว่ำแสดงถึงญาณอันแก่กล้า และมีลักษณะเคร่งเครียดอันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปะขอม พระกรรณยาวจดพระอังสา จึงขนานนามว่า "พระหูยาน" และลักษณะของเนื้อพระนั้น จะเป็นเนื้อชินเงินที่ลงอาบปรอทเพื่อรักษาเนื้อของพระเอาไว้ แต่เพราะมีอายุการสร้างที่ยาวนาน ผิวปรอทก็จะค่อยๆจางไปจนเกือบจะหมด นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่า ที่พระมาลาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เวลาออกรบนั้น มีพระเครื่องตระกูลลพบุรี ประดิษฐานไว้ โดยรอบพระมาลามีพระหูยานลพบุรีกลัดติดไว้ "พระหูยาน ลพบุรี" ไม่ว่าจะกรุเก่า กรุใหม่ หรือกรุใดๆ ก็ล้วนเป็นเลิศด้วยพุทธคุณ ทั้งด้านคงกระพันชาตรีตามแบบฉบับของขอม และเมตตามหานิยมครบเครื่อง นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรผู้ล่วงลับ มีพระหูยานลพบุรี กรุวัดปืนไว้คู่กาย หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 18 มกราคม 2557, 12:30:57 หลวงปู่หนู ฉินนกาโม วัดทุ่งแหลม ต.ป่าหวาย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เกิดเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๘ มรณภาพเมื่อวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๙ สนใจวิชาทางไสยศาสตร์และเวทมนตร์คาถาพุทธาคม จึงไปเรียนวิชาการต่าง ๆ กับ หลวงพ่อหลาบ วัดเนินตอ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี จนเชี่ยวชาญแล้วจึงไปเรียนกับ หลวงพ่อหลุง วัดทุ่งสมอ กระทั่งอายุครบบวชในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ จึงทำการอุปสมบทที่ วัดใหม่เจริญผลโดยมี หลวงพ่อปลิว เป็นพระอุปัช ฌาย์แล้วไปจำพรรษาที่ สำนักสงฆ์วัดเขาคร้อ หนึ่งพรรษาจึงไปเรียนวิชา พุทธาคมและวิปัสสนากับ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน จ.สุพรรณบุรี , หลวงพ่อจันทร์ วัดบ้านยาง, หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง จ.นครปฐม ซึ่งระหว่างเรียนวิชากับ หลวงพ่อแช่ม ได้พบกับศิษย์อีกคนหนึ่งของหลวงพ่อแช่มที่มาเรียนด้วยคือ หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม จ.นครปฐม หลวงปู่หนูมรณภาพเมื่อวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๙ วัตถุมงคลที่สร้างชื่อเสียงให้กับหลวงปู่โด่งดังมากที่สุดจนรู้กันทั่วไป ทั้งแถบจังหวัดภาคตะวันตก จนได้รับฉายาว่า "เทพเจ้าแห่งภาคตะวันตก " สาเหตุเกิดจาก เมื่อปี พ.ศ.2524 ได้มีเด็ก นำเอาลูกระเบิดของพ่อที่เป็นอาสาสมัคร มาแกะเล่น และเกิดระเบิดขึ้น โดยที่เด็กได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่เสียชีวิต เป็นเหรียญรุ่นที่ 7
หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: boom2013 ที่ 18 มกราคม 2557, 17:24:05 ขอบคุณสำหรับข้อมูญดีๆครับผม 007
หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: Amuletism ที่ 25 พฤศจิกายน 2557, 07:00:10 สมาชิกใหม่ เข้ามาเจอโดยบังเอิญ
ไว้จะขอเข้ามาแจมครับ 017 หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 13 มกราคม 2558, 20:15:35 ฝ้ายเจ็ดสี หลวงตาพวง สุขินทริโยฝ้ายเจ็ดสีวัตถุมงคลของหลวงตาเป็นที่ศรัทธาและรู้จักของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป มิใช่เพียงแต่ชาวยโสธรเท่านั้น ชื่อเสียงของฝ้ายเจ็ดสีขจรกระจายไปทั่วทุกสารทิศ มีญาติโยมหลั่งไหลมามิได้ขาด ความเป็นมาของฝ้าย 7 สี ชาวบ้านใน ต.สิงห์ อ.เมือง จ.ยโสธร ประกอบด้วยหมู่บ้านสิงห์ หมู่บ้านหนองขอน หมู่บ้านหนองเยอ หมู่บ้านนาสีนวล มีผีปอบ (หมายถึงบุคคลที่มีวิชาคาถาอาคม แต่ไม่ปฏิบัติตนอยู่ในศีลในธรรม แล้วเกิดร้อนวิชา) มารังควาน ชาวบ้านไม่มีที่พึ่ง จึงพากันมาหาหลวงตาพวง โดยชาวบ้านไปซื้อด้ายสายสิญจน์ จากตัวเมืองยโสธรเพื่อให้หลวงตาแผ่เมตตาให้ แล้วนำไปผูกข้อมือบ้าง ผูกคอบ้าง ผูกตามบ้านเรือนบ้าง ชาวบ้านชุดแรกๆ ที่ได้ไป ร่ำลือกันว่าสามารถป้องกันผีปอบได้ ต่อมาเมื่อข่าวแพร่สะพัดออกไปก็มีญาติโยมมาขอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ไม่นานนักชาวบ้านในตำบลสิงห์ เกือบทุกบ้านได้สายสิญจน์จากหลวงตาไป ผลที่สุดคนที่ถูกหาว่าเป็นปอบก็เสียชีวิต หลังจากนั้นมาก็ไม่มีผีปอบมารบกวนชาวบ้านอีกเลย เมื่อข่าวสะพัดออกไปอีก ชาวบ้านหมู่บ้านและตำบลอื่นๆ ก็เริ่มหลั่งไหลมาขอฝ้ายเจ็ดสีกันมิได้ขาด บางคนก็ขอให้ผูกข้อมือให้ ซึ่งการผูกข้อมือแต่ละคนต้องเสียเวลามาก ถ้าหากมีญาติมาพร้อมกันมากๆ ก็ยิ่งเสียเวลานาน เพราะหากคนหนึ่งได้รับการผูกข้อมือจากหลวงตาแล้ว คนอื่นๆ ก็อยากได้บ้าง ด้วยเหตุนี้ลูกศิษย์ของท่านจึงเห็นว่าการผูกด้ายสายสิญจน์เสียเวลานาน จึงได้นำเชือกไนลอนที่มีเจ็ดสีมาถวาย เพราะไนลอนเจ็ดสีนั้นสามารถทำเป็นวงๆ สำเร็จรูปไว้ก่อน เมื่อญาติโยมมาขอก็แจกได้เลยโดยไม่เสียเวลา สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้ฝ้ายเจ็ดสีเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปก็ เพราะเหตุว่ามีชาวบ้านคนหนึ่งป่วยหนัก เป็นมะเร็งในระยะสุดท้าย ใกล้จะเสียชีวิตเต็มที ญาติได้มาขอฝ้ายเจ็ดสีจากหลวงตาไปผูกข้อมือเพื่อเป็นสิริมงคล แต่หลังจากนั้นอีก 3-4 วันคนป่วยคนนั้นก็เสียชีวิต ญาติจึงได้นำศพไปบำเพ็ญกุศล และนำไปเผา ปรากฏว่าศพไม่ไหม้ แม้ว่าจะใช้เวลาเผานานพอสมควรโดยใช้ถ่านถึงสองกระสอบแล้ว ศพก็เพียงแต่ดำเป็นตอตะโก ญาติของผู้ตายไม่ทราบจะทำอย่างไร นึกได้ว่าก่อนเผา ลืมถอดฝ้ายเจ็ดสีจากข้อมือศพ จึงได้มานิมนต์ หลวงตาพวงไปเผา หลวงตาก็รับนิมนต์ไปเผาให้ และให้นำถ่านมาอีกหนึ่งกระสอบ หลวงตาบอกว่า ?ถ้าเผาไม่ไหม้เมื่อถ่านหมดกระสอบนี้แล้ว ก็ให้นำศพไปลอยแม่น้ำชีให้ปลากิน? แต่ทว่าในที่สุดศพก็ไหม้เป็นที่เรียบร้อย ญาติของผู้ตายเลยนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปเขียนลงในหนังสือพิมพ์ ว่าฝ้ายเจ็ดสีของหลวงตาพวงยิงไม่เข้า เผาไม่ไหม้ เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไปก็มีญาติโยมมาขอฝ้ายเจ็ดสีมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีปัจจัยเพียงพอในการซื้อฝ้ายเจ็ดสีมาแจก ในที่สุดบรรดาลูกศิษย์จึงต้องขออนุญาตหลวงตานำฝ้ายเจ็ดสีไปจำหน่ายเพราะต้อง การทุนมาทำต่อไปให้เกิดการหมุนเวียน จวบจนปัจจุบันฝ้ายเจ็ดสีที่ได้แจกจ่ายไปมีเป็นจำนวนมากเทียบได้กับจำนวน บรรทุกของรถสิบล้อ 2-3 คัน นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมากที่ผู้ได้รับฝ้ายเจ็ดสีประสบด้วยตนเองจนร่ำลือต่อๆ กันไปแต่มิได้บันทึกไว้ ณ ที่นี้ หัวข้อ: Re: สุดยอดทางคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและเป็นมหาอุด เริ่มหัวข้อโดย: vs12 ที่ 13 มกราคม 2558, 20:19:14 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณ เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2540 นายเดนนิส แมสเจอร์แมน และนายอีวาน เดลเลี่ยน นักข่าวสารคดี บริษัทคาสตาร์โปรดักชั่น ประเทศเบลเยี่ยม ซึ่งเดินทางมาถ่ายทำสารคดีงานประเพณีบุญบั้งไฟ ที่ จ.ยโสธร ได้ตระเวนไปในพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัด ในระหว่างการถ่ายทำงานบุญบั้งไฟ ที่บ้านไผ่ อ.ทรายมูล จ.ยโสธร ระหว่างนั้นเองบั้งไฟเกิดแตก ซึ้งทั้ง 2 คนอยู่ใกล้เหตุการณ์มากที่สุด แต่ไม่ได้ รับอันตรายแต่อย่างใด ต่อมา ระหว่างไปบันทึกภาพการจุดบั้งไฟของช่างมือหนึ่ง จ. ยโสธร ที่สวนพญาแถน อ.เมืองยโสธร ก็ได้เกิดเหตุบั้งไฟระเบิด แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ นายเดนนิส แมสเจอร์แมน และนายอีวาน เดลเลี่ยน เชื่อว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ต่อมานึกขึ้นได้ว่ามีฝ้าย 7 สี ผูกข้อมือ ซึ่งนายบรรจบ สุวรรณราช ช่างบั้งไฟมอบให้ เมื่อสอบถามเรื่องฝ้าย 7 สีจึงรู้ว่าเป็นของหลวงตาพวง สุขินทริโย เจ้าอาวาสวัดศรีธรรมาราม เจ้าคณะจังหวัดยโสธร (ธ) จึงเดินทางไปกราบและท่านได้เมตตารดน้ำมนต์ พร้อมมอบฝ้าย 7 สี ให้อีกคนละ 1 เส้น
|