หัวข้อ: ผีบ้า - ผีบุญ เริ่มหัวข้อโดย: เต้ อุบล ที่ 10 ตุลาคม 2554, 01:48:54 เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๒ ได้เกิดผีบ้าผีบุญขึ้นในมณฑลอิสาน ผีบ้าผีบุญนี้เกิดที่อื่นก่อน แต่ที่ได้มาเกี่ยวข้องกับ
เมืองตระการ ก็เพราะผีบ้าผีบุญได้ยกกำลังมาอยู่ในท้องที่ของเมืองนี้ การปราบปรามจนสงบราบคาบก็อยู่ที่เมืองนี้อีก จะขอกล่าวถึง เฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เมืองนี้เท่านั้น ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดที่อื่นจะไม่ขอนำมากล่าว พ.ศ.๒๔๔๔ ผีบ้าผีบุญ เดิมเป็นหมอลำกลอนเที่ยวลำคำผญา กระจายไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ทั่วมณฑลอิสาน ข้อความที่ลำนั้น เป็นการสรรเสริญผู้มีบุญว่า จะมาจากทางทิศตะวันออก ซึ่งหมายถึงองค์แก้ว ที่ตัวเป็นผู้มีบุญ อยู่ทางฝั่งซ้าย แม่น้ำโขง และกล่าวให้ร้ายแก่คนไทย หมอลำเหล่านี้เริ่มต้นมาจากทางทิศตะวันออก ตั้งแต่เมืองสีทันดร นครจำปาศักดิ์ เมืองพิบูล และเดชอุดม แยกเป็นสี่สาย สายที่สามมาเมืองตระการพืชผล เนื่องจากหมอลำ เป็นนักร้องคำกลอนเพลงพื้นเมืองของภาคอิสาน ประชาชนนิยมมากจึงเกิดความเลื่อมใสและ หลงเชื่อในกลอุบายของพวกผีบ้าผีบุญ เมื่อราษฎรเชื่อมากๆเข้า หมอลำก็ตั้งเป็นองค์ พวกที่ตั้งเป็นองค์ระดับหน้า แต่งกาย นุ่งขาวห่มขาว จีวรห่มครองอย่างพระหรือเณร และมีเทียนขึ้ผึ้งหนัก ๑ บาท ถือว่าเป็นขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ เป็นของสำหรับนบ(ไหว้) ครูอาจารย์ผีบ้าผีบุญ มีปลอกใบลาน จานเป็นคาถาสวมศรีษะทุกคน ครั้งแรกผีบ้าผีบุญได้โฆษณาเรียกร้อง และชักชวนประชาชนเข้าเป็นสมัครพรรคพวก ต่อมาได้ออกลายแทง เป็นคำพยากรณ์ซึ่งมีอยู่หลายฉบับ เช่น หนังสือพระยาอินทร์ หนังสือท้าวพระยาธรรมิกราช หนังสือผู้มีบุญ และตำนาน พื้นเมืองกรุง เป็นต้น หนังสือเหล่านี้กล่าวให้ร้ายต่อข้าราชการไทยและคนไทย สรรเสริญพระยาธรรมิกราช และทาย เหตุการณ์ข้างหน้าในทางที่ไม่ดีเป็นต้นว่า ปีชวดจะมียักษ์ ๗๐๐ ตัวมากินคน หรือพยากรณ์ว่า กลางเดือน ๖ พ.ศ.๒๔๔๔ จะเกิดเป็นเภทภัยใหญ่หลวง เงินทองทั้งปวงจะเกิดเป็นหินแห่หินทรายไปหมด หินแห่(หินกรวดลูกรัง) จะกลับเป็นเงินเป็นทอง หมูจะเป็นยักษ์กินคน แล้วท้าวธรรมมิกราช ผู้มีบุญจะมาเป็นใหญ่ในโลกนี้ ใครอยากพ้นภัยให้คัดลอกบทความตามลายแทง บอกต่อๆ กันไป ใครอยากมั่งมีเงินทอง ก็ให้ไปเก็บหินแห่มารวบรวมไว้ ให้ท้าวธรรมมิกราชชุปเป็นเงินเป็นทอง ถ้ากลัวตายให้ฆ่าหมู ก่อนถึงกลางเดือน ๖ ก่อนกลายเป็นยักษ์กินคน เป็นต้น เมื่อราษฎรทราบก็เล่าลือกันต่างๆนานา เป็นต้นว่า กรวดหินข้างวัด ถ้าใครนำไปเข้าพิธีก่อพระเจดีย์ตราบถึง วันอาทิตย์ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ปี ฉลู ตรงกับวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๔ จะกลายเป็นเงินเป็นทอง ตัวไหม หนู ควายตู้ ถ้าผู้ใดมีไว้ กรวดหินจะไม่กลายเป็นเงินเป็นทอง ตัวไหมจะกลายเป็นงูกัดเจ้าของ ควายตู้จะกลายเป็นยักษ์ขึ้นกินคน และรากไม้ฝอยเล็กละเอียดอยู่ตามฝั่งน้ำจะกลายเป็นไหม ผู้หญิงที่ยังไม่แต่งงานก็ให้รีบแต่ง มิฉะนั้นยักษ์จะมาจับกิน วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๔๔ จะเกิดลมพายุพัดเอาคนปลิวว่อนไป และมืด ๗ วัน ๗ คืน ให้หาไม้ลิ้นฟ้า (เพรา) มาไว้จุดไฟ และให้ปลูกตะไคร้ไว้บันไดเรือนเพื่อกันลมพัด ประชาชนก็พากันเชื่อและพากันเกรงกลัวเป็นอันมาก ว่าจะเป็นจริงตามคำเล่าลือหรือพยากรณ์นั้น พอถึงกลางปี พ.ศ.๒๔๔๓ ก็ปรากฎว่ามีราษฎรหัวเมืองต่างๆ ไปเก็บหินแห่ทางตะวันตกของอำเภอเสลภูมิ ส่วนที่เมืองอุบลก็พากัน ไปเก็บที่บ้านโต่งโต้น หนองเดิ่น แขวงเมืองอำนาจเจริญ นำมาไว้บูชา เพราะเชื่อว่าจะเกิดเป็นเงินเป็นทองตามคำลือ จนไม่เป็นอันจะทำการทำงาน บางแห่งข้าวในนาก็ไม่เก็บเกี่ยว ปล่อยให้วัวควายกินจนหมด และถ้าถึงเดือน ๖ จะพากัน ฆ่าหมู และควายที่เลี้ยงไว้ เงินทองก็เอาทิ้ง เกิดโกลาหลไปทั่ว นอกจากนี้ ท้าวไชยสุริน คนบ้านโพนเมือง แขวงเมืองตระการพืชผล ก็ได้ร่วมเป็นองค์กับเขาคนหนึ่ง พูดว่า " มีเมียหลายคนจนสู้ไม่ไหวสนุกกันใหญ่ เอาเงิน ๒ ลาด ( ๑ บาท) เท่านั้น แต่งเอาเท่าไหร่ก็ได้ " นับว่าเป็นข้ออ้าง ข้อหนึ่งที่ราษฎรเชื่อกันมาก ข่าวผู้วิเศษดังไปถึงไหน ก็มีราษฎรที่นั่นมาเป็นอันมาก เพราะสำคัญว่าองค์มั่นเป็นท้าว ธรรมมิกราชผู้มีบุญจะมาโปรด ก็เข้าสมัครพรรคพวก และรับเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดี เลยเป็นเหตุให้คนเกรงกลัวมาก ผีบ้าผีบุญ ไม่ได้เกิดขึ้นกะทันหัน หัวหน้าบางคนได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์องค์แก้ว แล้วจึงข้ามมายุแย่ราษฎรไทย แล้วเหตุการณ์ก็ค่อยลุกลามขึ้นทีละน้อย และได้ตั้งกองกำลังขึ้น ๓ กอง ที่เข้ามาเมืองตระการพืชผล คือ กองอ้ายมั่น ตั้งเป็นองค์ปราสาท อยู่บ้านโพธิ์ ตำบลหนามแท่ง แขวงเมืองโขงเจียม มีพรรคพวกประมาณ ๒๐๐ คนเศษ ร่วมมือกับ องค์ฟ้าเลื่อนคนเมืองตระการพืชผล มีแผนการณ์จะตีเมืองเขมราฐ เกษมสีมา และตระการพืชผล เมื่อได้กำลังจาก เมืองนี้แล้วหวังจะรวมดินแดน ฟากแม่น้ำโขงเพื่อตั้งเป็นอาณาจักรใหม่ไม่ขึ้นกับไทยและฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๔๔๔ อ้ายพันกับอ้ายเล็ก ก็นำกำลังประมาณ ๒,๕๐๐ คนเศษ เข้าล้อมและเผาเมืองเขมราฐ ฆ่าท้าวกุลบุตร ท้าวโพธิสาร กรมการเมือง และปล่อยนักโทษออกจากคุกหมด ส่วนพระเขมราฐเดชประชารัตนเจ้าเมือง จับเป็นตัวประกันขึ้นคานแห่หามไปหาพรรคพวก พวกผีบ้าผีบุญได้กำลังคนที่เมืองเขมราฐอีกประมาณ ๕๐๐ คนเศษ จึงยกไปตั้งอยู่ทุ่งนา ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านขุหลุ แขวงเมืองตระการพืชผล ระหว่างบ้านดอนโทน กับบ้าน ดอนทับช้าง มีองค์ต่างๆ มาร่วมกัน ๖ คน คือ องค์เขียว องค์ลิ้นก่าน องค์ที องค์พระบาท องค์พระเมตไตร และองค์เหลือง ในขณะตั้งหาพรรคพวกอยู่ที่บ้านขุหลุนี้ ได้ให้ลูกน้องไปจับเอาท้าวอินธิสาร (กรมช้าง) เจ้าเมืองพนา มาฆ่าตัดคอที่ทุ่งนา ใกล้กับที่ตั้งอยู่ โดยหาว่าไม่เข้าพวกและคิดจะปราบปราม พระบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้ทราบเรื่องว่า มีผู้ตั้งตนเป็นผู้วิเศษเป็นทางการ จาก หนังสือพิมพ์พระพินิจสารา ข้าหลวงบริเวณร้อยเอ็ด กราบทูลในราวเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๔๔๔ ว่ามีผู้วิเศษที่บ้านหนองซำ และทรงได้รับใบบอกจากเจ้าเมืองโขงเจียมว่า อ้ายมั่นบ้านกระแจจัน แขวงเมืองโขงเจียมขึ้นเมืองเขมราฐ ตั้งตัวเป็นผู้วิเศษ และเจ้ายุติธรรมธร ( คำสุด ) เจ้านครจำปาศักดิ์ กราบทูลว่ามีคนหนึ่งตั้งตัวเป็นองค์ผ้าขาว นุ่งขาว ห่มขาว เล่าลือเป็นผู้วิเศษ พระบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้ทูลกรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยว่า เวลานั้นทางมณฑลอิสานกำลังตื่นผู้มีบุญไปทุกหนทุกแห่ง น่ากลัวจะเป็นข้างโจรใหญ่โต แต่ถ้าเป็นทางฝ่ายลาวก็ไม่ สักกระไรนัก แต่ทางฝ่ายเขมราฐนั้น ตัวอ้ายบุญทันผู้มีบุญนั้นเป็นบุตรพระยาขุขันธ์ที่ตาย พระยาขุขันธ์คนใหม่ก็ครั้นคร้าม เสียแล้ว ถ้าโปรดให้ทหารนครราชสีมาสัก ๑๐๐ คน โดยเร็วที่สุดได้ก็จะดี นอกจากนี้ยังได้ทูลให้ทรงทราบเรื่องผีบ้าผีบุญ เข้าปล้นและเผาเมืองเขมราฐอีก และส่งข่าวให้ทหารและอาวุธปืน ไปให้โดยด่วนจำนวน ๔๐๐ - ๖๐๐ คน พร้อมกันนั้น พระองค์ได้จัดทหารไปคอยสกัดพวกผีบ้าผีบุญ ที่เมืองเกษมสีมา และเมืองเขมราฐ และเมืองต่าง ๆ อีกหลายเมือง เพื่อป้องกันพวกผีบ้า ผีบุญ ยกเข้าตีเมืองอุบลราชธานี โดยหวังจะถ่วงเวลา รอกำลังทหารจากเมืองนครราชสีมาอีกด้วย ส่วนทางกรุงเทพฯ เมื่อได้รับข่าวเช่นนี้จึงได้ประชุมเสนาบดีในวันที่ ๒๖-๒๗ และ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๔๕ ผลการประชุมสรุปได้ว่า ผีบ้าผีบุญเกิดขึ้นทางเมืองขุขันธ์ ควรให้ทหารพร้อมอาวุธประมาณ ๑๐๐ คน ไปปราบ และให้ กรมยุทธนาธิการโทรเลขถึงกองทหารเมืองนครราชสีมา ให้เตรียมทหารไว้ ๒๐๐ คน ให้รอฟังข่าวจากพระบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ให้เป็นที่แน่นอนว่า จะให้ทหารไปเมืองใด เท่าใด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงวิตกในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางมณฑลอิสาน จึงทรงมีพระบรม ราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีสารตราพระราชสีห์ใหญ่ที่ ๔๕ / ๑๒๑๔ ลงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๔๔๔ / ๕ ให้พระยา สุริยเดชวิเศษฤทธิ์ทศพิศวิชัย ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลนครราชสีมา เป็นข้าหลวงพิเศษปราบปรามพวกผีบ้าผีบุญ ในมณฑลอิสาน และมณฑลอุดรธานี มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้กรมยุทธนาธิการจัดกำลังทหารมณฑลนครราชสีมา ไปปราบพวกผีบ้าผีบุญ โดยให้พันโทหม่อมเจ้าศรีใสเฉลิมศักดิ์ จัดหาทหารให้ โดยได้ออกจากเมืองนครราชสีมา ในวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๔๕ พร้อมทหารจำนวน ๒ กองพัน กองหนึ่งเมื่อไปถึงเมืองสุวรรณภูมิให้ฟังว่า พวกผีบ้าผีบุญมาจากเขมราฐนั้นอยู่ที่ใด ให้ปราบปรามทีเดียว เมื่อเข้ามณฑลอิสานแล้วหรือไปถึงที่ใดก็ตาม เมื่อได้ทราบคำสั่งหรือความประสงค์ของ พระบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ประการใด ให้ทำตามบังคับบัญชาของพระองค์ทุกประการ จำนวนทหารที่ยกไปมณฑลอิสาน ๒ กองพัน เพื่อรักษาสถานการณ์ เป็นกองทหารที่ทันสมัยที่สุดในสมัยนั้น ทหารทุกคนมีปืนคนละกระบอก กระสุน ๑๐๐ นัด และมีเสบียงติดตัวไปกันได้ ๕ วัน และได้โทรเลขไปยังมณฑลอิสาน ให้คอยจ่ายเสบียงอาหารให้ตามรายทางอีกด้วย พระบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงวิตกว่าจะเกิดเหตุการณ์จลาจลขึ้นตามหัวเมืองต่าง ๆ จึงโปรด ให้ทหารไปจับพวกผีบ้าผีบุญ ๕ สาย โดยสายที่ ๕ ให้ร้อยตรีหลี ( หรี่ ) นำทหาร ๑๕ คน ไปตรวจเมืองพนาและเมือง ตระการพืชผล สายนี้ได้ตรวจพบพวกผีบ้าผีบุญที่บ้านนาสะไม แขวงเมืองตระการพืชผล ที่หาลู่ทางจะไปเมืองอุบลราชธานี ร้อยตรีหลี เห็นว่าจะสู้ไม่ได้เพราะกำลังน้อยกว่า เลยไม่เข้าตี จึงได้กลับไปเมืองอุบลราชธานี เพื่อทูลให้ทรงทราบ ทางด้านร้อยเอกหม่อมราชวงศ์ร้าย ได้เกณฑ์ราษฎรที่เมืองเขมราฐจำนวน ๑๐๐ คนเศษ และได้ปะทะกับ กองระวังหน้าของพวกผีบ้าผีบุญที่มีกำลัง ๑๐๐ คนเศษเช่นกัน ที่ตั้งอยู่บ้านขุหลุ แขวงเมืองตระการพืชผล พวกผีบ้าผีบุญ ได้ร้องขู่ว่า " ผู้ใดไม่สู้ให้วางอาวุธหมอบลงเสีย " พวกที่หม่อมราชวงศ์ร้ายเกณฑ์มา ก็หมอบลงกราบผีบ้าผีบุญทั้งหมด หม่อมราชวงศ์ร้ายกับพลตระเวน ๑๒ นาย ได้ต่อสู้กับพวกผีบ้าผีบุญอย่างดุเดือด แต่กำลังพลมีน้อยกว่าจึงถูกพวกผีบ้าผีบุญ ล้อมฆ่าเกือบหมด เหลือพลทหารป้อมคนเดียวต่อสู้ฝ่าวงล้อมไปได้ พลทหารป้อม ได้กลับไปทูลให้พระบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงทราบ หลังจากพวกผีบ้าผีบุญ ได้ชัยชนะทหารรัฐบาลครั้งนี้ และได้กำลังเพิ่มอีกเกือบ ๕๐๐ คน จึงมีใจฮึกเหิม ได้ยกกำลังไปตั้งอยู่โนนโพธิ์ ทางทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ของบ้านสะพือ ห่างจากบ้านสะพือประมาณ ๑ กม.เพื่อหาพรรคพวกเพิ่มเติม และเพื่อยกเข้าตีเมืองตระการ (สมัยนั้นตั้งอยู่บ้านสะพือ ) และเมืองอุบลราชธานีตามแผนการณ์ เมื่อมาตั้งอยู่บ้านสะพือ พวกผีบ้าผีบุญนำโดยองค์มั่น ได้ตั้งศาลเพียงตา นุ่งขาวห่มขาว ทำเป็นจำศีลภาวนา และ ป่าวประกาศประชาชนว่า จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นดังคำทำนายให้พากันระวัง ฝ่ายราษฎรหวาดกลัวกันอยู่แล้ว ทั้งได้ยิน และคนจำศีลแปลกหน้ามาก็สำคัญว่าเป็นผู้มีบุญวิเศษ พากันเข้าไปกราบไหว้ขอให้ช่วยป้องกันภัยพิบัติให้ องค์มั่นก็เป่า คาถาอาคมรดน้ำมนต์ให้ตามประสงค์ และพูดจาหว่านล้อมเกลี้ยกล่อมให้เข้าเป็นพรรคพวก ราษฎรแถบนั้นหลงเชื่อ ก็เข้านับถือประมาณ ๑,๐๐๐ คนเศษ องค์มั่นสั่งเกณฑ์อาวุธและเสบียงอาหารต่างๆ และสั่งให้ตากข้าวเหนียวสุกยัดไส้ ผูกรวบเอวทุกคนแบบเข้าสงคราม จัดเป็นกองหมวดหมู่ ถือศาสตราวุธ องค์ต่างๆ ชั้นหัวหน้าก็ให้ปฏิบัติการอยู่เวรยามรักษาองค์มั่น และมีคำสั่งดังนี้ " ฟืนไฟให้ดับ ปืนต้นให้คาบชุด อาวุธใว้หอกข้าง นางโตใดมากล่าวอ้าง ให้ตัดหัวถวายองค์มั่น ให้ระมัดระวดระวัง " แล้วก็พากันโห่ร้องขึ้น ๓ ครา เพื่อเอาฤกษ์ว่า " ซ่า ซ่า ซ๋า " (สาธุ) องค์มั่นตั้งตัวเกลี้ยกล่อมอยู่บ้านสะพือ ๔-๕ วัน วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๕ พระบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงบัญชาให้ร้อยเอกหลวงชิดสรการ (จิตมัธยมนันท์) นายทหารปืนใหญ่ กับร้อยตรีอิน คุมทหาร ๒๔ คน พร้อมด้วยอาวุธปืนไปปราบพวกผีบ้าผีบุญ และโปรด ให้พระอุบลการประชานิตย์ (บุญชูบรมวงศ์นนท์) ข้าหลวงบริเวณเมืองอุบลราชธานี กับพระอุบลศักดิ์ประชาบาล ( กุคำ สุวรรณกูฏ ) ผู้รักษาการเมืองอุบลราชธานี จัดกำลังฝ่ายบ้านเมืองสมทบฝ่ายทหาร ๒๐๐ คนเศษ พร้อมด้วยอาวุธปืน ๑๐๐ กระบอก พระอุบลการฯ สั่งให้พระสุนทรกิจวิมล (คูณ สุงโขบล) เมียซานาตย์ เมียซานนท์ เมียวงศาราธร และเมียชินบุตร เป็นนายกองฝ่ายบ้านเมือง ยกออกจากเมืองอุบลราชธานี จวนจะบรรลุถึงบ้านสะพือในวันที่ ๒ เมษายน พลบค่ำพักพล อยู่ห่างบ้านราว ๕๐ เส้น เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๔๕ เวลา ๐๙.๐๐ น. จึงได้ยกเข้าตีพวกผีบ้าผีบุญ ต่อสู้กันประมาณ ๔ ชั่วโมง พวกผีบ้า ผีบุญจึงแตกหนีถูกฆ่าตาย ๒๐๐ คนเศษ บาดเจ็บ ๕๐๐ คนเศษ และจับเป็นได้ ๑๒๐ คนเศษ ฝ่ายรัฐบาลไม่ได้รับอันตราย เพราะผีบ้าผีบุญมีแต่อาวุธสั้น เช่นมีด หอก ดาบ จึงสู้กับอาวุธปืนของฝ่ายรัฐบาลไม่ได้ เพราะพวกผีบ้าผีบุญสั่งว่า ทุกคนอย่าทำอะไร อย่ายิง ให้ภาวนาอย่างเดียว ขณะต่อสู้กันอย่างติดพันอยู่นั้น พวกหัวหน้าผีบ้าผีบุญก็ถือโอกาสหลบหนี ไปทางประเทศลาว หลังจากปราบปรามผีบ้าผีบุญที่บ้านสะพือแล้ว กองทหารมณฑลอิสาน ได้ร่วมกับกองทหารมณฑลนครราชสีมา เที่ยวจับปราบปรามผีบ้าผีบุญในที่ต่างๆ และพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้โปรดให้มีตราสารส่งไปทุก หัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวงว่า ให้ผู้ว่าราชการเมือง กรมการ และเจ้าหน้าที่สืบจับพวกผีบ้าผีบุญ ที่ยังกระเซ็นกระสายและ หลบหนี หรือผู้ที่สมรู้ร่วมคิดการร้ายเหล่านี้ ส่งเข้าไปยังกองบัญชาการมณฑลอิสาน ณ เมืองอุบล โดยด่วน อย่าให้หลบหนี ไปได้ ถ้าหากผู้ใดปกปิดพวกเหล่าร้อยและเอาใจช่วยเหลือให้หลบหนี จะเอาโทษแก่ผู้ปิดบังและเจ้าหน้าที่หัวเมืองนั้นๆ อย่างหนัก ทหารฝ่ายรัฐบาลไล่ติดตามพวกผีบ้าผีบุญจากบ้านสะพือ เมื่อไล่ทันจึงจับจองจำขื่อคา ตากแดดตากฝนเพื่อรอการ พิจารณาโทษต่อไป ( ปัจจุบันเป็นตำบลตากแดด ) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีลายพระหัตถ์ถึง กรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวง มหาดไทย ให้ส่งโทรเลขถึงกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ว่า มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานอาญาสิทธิ แก่กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ให้มีอำนาจที่จะประหารชีวิต ซึ่งควรแก่โทษตามพระราชกำหนดกฎหมาย ตลอดเวลา ที่ระงับการจลาจลในมณฑลอิสาน สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงแต่งตั้งมหาอำมาตย์โทพระยาศักดิ์ดาภิเดชวรฤทธิ์ (ดั่น อมรานนท์) ข้าหลวงเทศาภิบาลมณฑลบูรพา ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มาปราบผีบ้าผีบุญ เป็นประธานตุลาการ ให้ หม่อมเจ้าทัศโนภาสเกษมสันต์ ตำแหน่งว่าที่อัยการมณฑลอิสาน หม่อมราชวงศ์วิจิตร (ม.ร.ว.ปฐมคะเนจร) ตำแหน่ง ปลัดมณฑลอิสาน หลวงประชานิตย์ ข้าหลวงบริเวณอุบล และพระอุบลศักดิ์ประชาบาล ผู้รักษาการเมืองอุบลราชธานี รวม ๕ คน เป็นคณะตุลาการร่วมกันพิจารณาตัดสินลงโทษพวกผีบ้าผีบุญ ในปี พ.ศ.๒๔๔๕ สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ทรงเห็นว่า ควรจัดตั้งกองตำรวจภูธร ในมณฑลอิสาน เพื่อรักษาเหตุการณ์ และตรวจตราท้องที่ต่างๆ จึงได้ขอกำลังตำรวจไปยังกระทรวงมหาดไทย ให้ เมืองตระการพืชผล จำนวน ๒๐ นาย เท่ากับเมืองยโสธร อำนาจเจริญ พนานิคม เสนางคนิคม และมหาชนะชัย เว้นเมืองอุบลราชธานี และเมืองเขมราฐที่ขอให้เมืองละ ๔๐ นาย แต่ไม่มีหลักฐานปรากฎว่าผู้ใดมาเป็นหัวหน้า ตำรวจที่เมืองตระการพืชผล ในสมัยนั้น พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้มีกฎหมายเรื่องผีสางขึ้น เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๘ ห้ามมิให้ราษฎรนับถือผีสางใดๆ เป็นอันขาด เช่น การเข้าทรงลงเจ้า เลี้ยงผีมีผีไท้ผีฟ้า ผีเหศักดิ์หลักเมือง ด้วยอาการใดๆ ถ้าพบเห็นให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองจับผู้นั้นไปไต่สวนพิจารณา ถ้าได้ความจริงให้ปรับคนละ ๑๒ บาท ถ้าไม่มีให้จำคุกแทน ๑ เดือน เหตุการณ์ผีบ้าผีบุญก็สงบแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พ.ศ.๒๔๕๐ ได้ยกเลิกการเรียกชื่อเมืองว่าแขวง ให้เปลี่ยนเป็นอำเภอ ผู้ปกครองเรียกว่า " นายอำเภอ " และให้ออกไปจัดตั้งที่ว่าการ ณ ศูนย์กลางชุมชนของอำเภอนั้นๆ และให้ทุกหมู่บ้านสร้างศาลาที่พักไว้ในย่านชุมชน และขุดบ่อน้ำ หรือตามที่เห็นเหมาะสม เพื่อให้ข้าราชการที่ตรวจราชการ หรือราษฎรไปมาค้าขายได้พักอาศัย และมี น้ำดื่มกิน ดังนั้นตามหมู่บ้านชนบทในภาคอิสาน จะมีศาลาที่พัก ปัจจุบันเป็นศาลากลางบ้าน สำหรับประกอบกิจกรรมต่างๆ และมีบ่อน้ำแทบทุกหมู่บ้านสืบมาจนบัดนี้ ขอขอบคุณ คุณตาผาย ปวบุตร ผู้ให้ข้อมูล จาก http://www.trakarnphutphon.ob.tc/data/8peebapeeboon.htm หัวข้อ: Re: ผีบ้า - ผีบุญ อีกหนึ่งชิ้นผลงาน เริ่มหัวข้อโดย: เต้ อุบล ที่ 10 ตุลาคม 2554, 01:52:12 กบฏผู้มีบุญ หรือกบฏผีบุญ เป็นปฏิกิริยาที่คนในท้องถิ่นต่อต้านนโยบายของรัฐอันก่อให้เกิดผลต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนในท้องถิ่น เช่น การปฏิรูปการปกครอง การเพิ่มภาษี การเอารัดเอาเปรียบจากภาครัฐ ฯลฯ
ในประวัติศาสตร์กบฏผู้มีบุญ เคยเกิดขึ้น หลายต่อหลายครั้งด้วยกัน คนพวกนี้ คือกบฏชาวนาที่ถูกสภาพแวดล้อมบังคับกดดันอย่างหนัก และหาทางออกด้วยการล้มล้างสังคมเก่า โดยอาศัยความเชื่อทางศาสนาเป็นอุดมการณ์ และมักจะพบเกือบทุกภาคของประเทศ เช่น กบฏผู้มีบุญภาคอีสาน กบฏพระยาแขกเจ็ดหัวเมืองในภาคใต้ กบฏเงี้ยวเมืองแพร่ในภาคเหนือ แต่ที่เกิดบ่อยครั้งที่สุด ก็เห็นจะเป็นภาคอีสาน ได้แก่ กบฏบุญกว้าง พ.ศ. 2242 กบฏเชียงแก้ว พ.ศ. 2324 กบฏสาเขียดโง้ง พ.ศ. 2363 ศึกสามโบก พ.ศ. 2438 กบฏผู้มีบุญ พ.ศ. 2444-2445 กบฏหนองหมากแก้ว พ.ศ. 2467 กบฏหมอลำน้อยชาดา พ.ศ. 2479 และกบฏนายศิลา วงศ์สิน พ.ศ. 2502 การปฏิรูปการปกครองในสมัย ร. 5 มีผลทำให้ผู้ปกครองเดิมไม่มีอำนาจปกครองได้เต็มที่เหมือนในอดีต เพราะมีผู้ปกครองจากส่วนกลางเข้าไปปกครอง ทำให้ในระยะแรก ความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบรรดาเจ้าเมืองทั้งหลายที่สูญเสียผลประโยชน์ แต่ต่อมาก็พบว่า ผลกระทบกลับตกอยู่ที่ราษฎรซึ่งได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องมาจากผู้ปกครองเดิมนั้นหันไปขูดรีดราษฎรหนักขึ้น เพื่อทดแทนรายได้ที่ขาดหายไป นอกจากนี้แล้ว ชุมชนอีสานยังถูกคุกคามจากการแทรกแซงเรื่องวัฒนธรรมของภาครัฐ ทำให้ชุมชนของพวกเขาไม่ได้รับความสงบสุขเหมือนดังก่อนอีกต่อไป จึงได้รวมกลุ่มลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจรัฐและลุกลามบานปลายจนกลายเป็นกบฏในที่สุด กบฏผู้มีบุญภาคอีสาน มีจุดมุ่งหมายคือความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยการล้มล้างสังคมเก่าที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวอีสาน แนวความคิดที่ถูกนำมาชักจูงให้ชาวบ้านเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏคือ อุดมการณ์พระศรีอารย์ ซึ่งมีปรากฏในวรรณกรรมทางศาสนา ซึ่งได้บรรยายคำพยากรณ์ของพระศรีอาริย์ที่เกี่ยวกับการสิ้นสุดของพุทธศาสนาในปัจจุบัน การเกิดกลียุคและการปฏิบัติตนให้รอดพ้นจากกลียุค รวมไปถึงลักษณะของยุคพระศรีอาริย์ ที่ฝรั่งเรียกว่า ยูโทเปีย (Utopia) ยุคแห่งอุดมคติ ยุคที่มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ มนุษย์และสัตว์จะสามัคคีปรองดองไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีความยุติธรรม ทุกคนเสมอภาค ทั้งร่างกาย สติปัญญาและฐานะ ความสมบูรณ์เหล่านี้จะเป็นนิรันดรตราบเท่าที่ศาสนาของพระศรีอาริย์ยังคงอยู่ ด้วยเหตุนี้เอง กบฏผู้มีบุญจึงมักจะนำความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์มาเป็นอุดมการณ์ในการกบฏ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ชาวอีสานได้รับความกดดันจากสภาพแวดล้อมอย่างหนัก ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ปกครอง ชาวบ้านพึ่งพิงผู้ปกครองไม่ได้ และในการกบฏทุกครั้งจะมีจุดประสงค์เพื่อต้องการแบ่งแยกดินแดน โดยคาดหวังที่จะปกครองดินแดนเหล่านั้นให้รุ่งเรืองดังอดีต ในการนี้ก็มักจะมีผู้ตั้งตนเป็นผู้มีบุญ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักบวชทางศาสนา ปลุกระดมความคิดตามแนวความเชื่อเรื่องพระศรีอาริย์ เพื่อรวบรวมชาวบ้านให้รวมกลุ่มกันให้ได้มากที่สุด เพื่อต่อต้านอำนาจรัฐ ซึ่งขนาดของกลุ่มจะขึ้นอยู่กับความเชื่อถือศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อผู้นำของกลุ่ม หรือผู้มีบุญ แต่กลุ่มพวกนี้ส่วนใหญร จะมีกำลังไม่มากนัก และมักจะรวมตัวกันอย่างสงบ แต่ละกลุ่มจะเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และมีไม่กี่ครั้งที่กลุ่มเหล่านี้จะใช้กำลังต่อต้านรัฐ บางครั้งก็อาจลุกลามบานปลายจนถึงขนาดเข้าปล้นชิงเมืองและฆ่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ที่เชื่อถือศรัทธาในเรื่องนี้ต่างก็จะทำตามคำแนะนำซึ่งปรากฏอยู่ในรูปแบบลายแทงหรือคำทำนายอย่างเคร่งครัด โดยหวังที่จะได้อยู่ในสังคมใหม่ที่มีแต่ความสมบูรณ์พูนสุขภายใต้การนำของผู้มีบุญ ซึ่งความเชื่อเรื่องนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสังคมอีกสานเท่านั้น ปรากฏการณ์นี้ได้เกิดขึ้นโดยทั่วไปในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำของมนุษย์ ซึ่งชาวโลกรู้จักกันดีในชื่อ Millenarism คำนี้มาจากศาสนายิว เชื่อกันว่า พระคริสต์จะมาปรากฏองค์อีกครั้งในรูปของนักรบปราบมาร และจะสร้างอาณาจักรใหม่ที่มีแต่ความเสมอภาคและความปรองดองกันถ้วนหน้า หากนำมาเป็นอุดมการณ์ในการกบฏ อาจหมายถึง ความเชื่อในขบวนการทางศาสนาที่จะไปสู่สังคมที่ดีกว่าร่วมกัน และจะมีผู้ที่อ้างตนว่าได้รับคำบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้ามาเป็นผู้นำในการกบฏ ความเชื่อเรื่องนี้ได้ก่อให้เกิดขบวนการการต่อสู้ของกลุ่มชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคม ซึ่งมักจะเป็นชนชั้นล่างและเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมนั้น ๆ การถูกปล่อยให้โดดเดี่ยวโดยขาดการเหลียวแลจากภาครัฐ ทำให้อีสานกลายเป็นที่สนใจของลัทธิล่าอาณานิคมในเวลานั้น ภาครัฐไทยจึงต้องเปลี่ยนท่าทีโดยเข้าไปจัดการชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอีสาน โดยใช้วัฒนธรรมของส่วนกลางเข้าไปจัดการกับวิถีชีวิตชาวอีสาน โดยไม่คำนึงและทำความเข้าใจในรูปแบบวิถีการดำเนินชีวิตที่มีระบบประเพณีความเชื่อดั้งเดิม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากราษฎร และเกิดกลายเป็นกบฏในที่สุด วงล้อแห่งประวัติศาสตร์ จะเวียนกลับมาซ้ำรอยอีกหรือไม่ ไม่มีใครตอบได้ ตอนนี้บ้านเมืองของเราอาจจะเรียกได้ว่า เกิดกลียุครึเปล่า ของแพง น้ำมันแพง ทุกอย่างแพงหมด ค่ารถโดยสาร ขึ้นราคาตามราคาน้ำมัน ที่ขึ้นเอาขึ้นเอา โลก กำลังลุกเป็นไฟ อิสลาเอล ถล่มเลบานอน เกาหลีเหนือทดลองยิงขีปนาวุธ และออกมาประกาศตัวอย่างแข็งกร้าว พร้อมรบหากมหาอำนาจเข้ามาก้าวก่าย อินโดนีเซีย บอบช้ำที่สุด เริ่มจากภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว ไฟป่า และล่าสุด แผ่นดินไหวใต้ทะเล ทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิอีกครั้งครั้งนี้เบาะ ๆ คนตายไป 300 กว่าคน (ยอดล่าสุด) สำหรับในประเทศไทยการเมืองที่อ่อนแอ ผู้นำปัญญาอ่อนเอาแต่ชิงไหวชิงพริบกัน โดยไม่คิดถึงประชาชนตาดำ ๆ ปากไวกว่าความคิด รวนเร แปรปรวน รวมเลยไปถึง พระฆ่าพระ โจรปล้น ครก สาก เครื่องมือทำมาหากิน คนจนปล้นคนจน และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ที่รู้ ๆ ตอนนี้ 3 จังหวัดภาคใต้ของเรา ได้นำอุดมการณ์ Millenarism มาใช้แล้ว ถ้าลองมองย้อนกลับไปเปรียบเทียบกับกบฏผู้มีบุญภาคอีสาน สาเหตุ อุดมการณ์ แทบไม่แตกต่างกันเลย แม้แต่นิดเดียว วนา 21 ก.ค. 2549 จาก http://www.prajan.com/webboard/view.php?id=5841&PHPSESSID หัวข้อ: Re: ผีบ้า - ผีบุญ เริ่มหัวข้อโดย: บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน ที่ 10 ตุลาคม 2554, 09:50:00 ประเด็นสาเหตุของการกบฏ มีหลายสาเหตุ แต่ประเด็นสำคัญน่าจะเป็นความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนแปลงไปของประชาชนท้องถิ่นอุบล สมัยก่อนนั้นอุบลมีสถานะเป็นเมืองประเทศราชของสยามมีเจ้าเมืองปกครองเองเพียงแต่ส่งส่วยให้แก่สยามเท่านั้น หลัง ร.5 ปฏิรูปการปกครอง เพื่อรวมประเทศโดยการส่งข้าหลวงใหญ่และข้าราชการเป็นจำนวนมากมาปกครองที่อุบลและหัวเมืองอีสานอื่นๆ โดยลดบทบาทของเจ้าเมืองลง และที่สำคัญ การเก็บภาษีส่วยที่เพิ่มขึ้น หรือเรียกในตอนนั้นว่า "เงินข้าราชการ" ซึ่งชายฉกรรจ์จะต้องเสียคนละ 4 บาท สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนรากหญ้า จึงเกิดการต่อต้านอำนาจรัฐขึ้นและนั่นนำมาซึ่งกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่ากบฏผีบ้าผีบุญในที่สุดครับ 007
หัวข้อ: Re: ผีบ้า - ผีบุญ เริ่มหัวข้อโดย: คนโก้ ที่ 13 ตุลาคม 2554, 19:19:09 ขอบคุณมากครับ 007
หัวข้อ: Re: ผีบ้า - ผีบุญ เริ่มหัวข้อโดย: fame ที่ 13 ตุลาคม 2554, 21:24:01 อีกสาเหตู ที่ น่าสนใจ ครับ
เกิด จากฝรั่งเศษครับ ต้อง การแยกมณทลอีสาน ออกจากการปกครองของสยามสยาม เพื่อขยายอิทพลในแถบ อิสาน และ ลาว ครับ เลยใช้ความเชื่อหลอกลวงชาว บ้าน เช่น การบอกว่า หมู วัว ควาย จะกลาย เป็นยักษ์ กินคนให้ฆ่าเสีย ข้าวเจ้าจะกลายเป็นนกมีปีกบินหนี เพื่อที่จะให้เวลาทางกรุงเทพ ส่งทหารมาปราบ จะได้ไม่มีสเบียงอาหาร ** ข้อมูลที่น่าสนใจ จากหนังสือกบถ คนอีสาน หัวข้อ: Re: ผีบ้า - ผีบุญ เริ่มหัวข้อโดย: บ่หัวซาผีบ้าเดินดิน ที่ 14 ตุลาคม 2554, 16:30:53 เยี่ยมครับน้อง fame 007
|