หัวข้อ: ความเป็นมาของอักษรไทยน้อย เริ่มหัวข้อโดย: เต้ อุบล ที่ 05 ตุลาคม 2554, 00:04:03 อักษรไทยน้อย เป็นอักษรสกุลไทย เพราะมีรูปสัณฐานตัวอักษรและอักขรวิธีเหมือนอักขรวิธีอักษรไทย แม้จะมีอักขรวิธีอักษรธรรมเข้ามาปะปนบ้างเป็นอักษรที่ใช้อยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาวที่อาศัยอยู่ลุ่มแม่น้ำ
โขง กล่าวคือทั้งอาณาจักรล้านช้าง(ส.ป.ป.ลาว)และภาคอีสานของไทยบางส่วน โดยมีศูนย์กลางวัฒนธรรม อยู่ที่เมืองหลวงพระบางและเมืองเวียงจันทน์ โดยใช้ตัวอักษรไทยน้อยเป็นอักษรทางราชการที่จดบันทึก เรื่องราวต่างๆ ที่เป็นคดีโลก เช่น หนังสือราชการ (ใบบอกหรือลายจุ้ม) กฎหมาย วรรณกรรมนิทาน เป็นต้น ส่วนคดีธรรมหรือเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา เช่น พระธรรมคัมภีร์ ชาดก คาถาอาคม เป็นต้น จะใช้อักษรธรรม ในการบันทึก เพราะถือว่าเป็นตัวอักษรที่ศักดิ์สิทธิ์ จากการศึกษาด้านจารึกประกอบกับหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ของนักอักขรวิทยา พบว่าอักษร ไทยน้อยได้พัฒนามาจากอักษรไทยสมัยพระยาลิไท แห่งสุโขทัย (พ.ศ.๑๘๙๐-๑๘๑๑) ดังจะเห็นได้จากจารึก ลายเขียนสีที่ผนังถ้ำนางอัน เมืองหลวงพระบาง (ไม่บอกศักราช) หรือศิลาจารึกพระธาตุร้างบ้านแร่ อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร (พ.ศ. ๑๘๙๓) ซึ่งเป็นจารึกในระยะแรกๆ มีรูปแบบตัวอักษรและอักขรวิธี เหมือนกับตัวอักษรของพระยาลิไท ระยะหลังจาก พ.ศ.๒๐๐๐ เป็นต้นมาพบว่า ศิลาจารึกในภาคอีสานจำนวน มากที่เขียนด้วยอักษรไทยน้อยได้คลี่คลายรูปแบบสัณฐานไปจากอักษรไทยสมัยพระยาลิไท แต่กลับไปมีรูปแบบ สัณฐานคล้ายกับอักษรฝักขามของอาณาจักรล้านนามากขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะว่า อาณาจักรล้านช้างมีความ ใกล้ชิดกับอาณาจักรล้านนาและสืบทอดวัฒนธรรมมาจากอาณาจักรล้านนาโดยเฉพาะพระพุทธศาสนา เช่น สมัยพระเจ้าวิชุลราชที่ได้ฟื้นฟูและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเถรวาทจากเชียงใหม่ในสมัยพระเจ้าโพธิสาลราช พระโอรสของพระเจ้าวิชุลราชก็ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเมืองเชียงใหม่และได้ขอพระเถระจากเชียงใหม่ คือ พระเทพมงคลกับบริวารพร้อมทั้งพระธรรมคัมภีร์ ๖๐ คัมภีร์ไปเผยแผ่ที่อาณาจักรล้านช้างด้วย และในสมัย พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชพระโอรสของพระเจ้าโพธิสาลราช ได้เสด็จไปครองเมืองเชียงใหม่อยู่ระยะหนึ่ง (พ.ศ. ๒๐๙๑ - ๒๐๙๓) เมื่อพระเจ้าโพธิสาลราชสวรรคตก็ได้กลับไปครองอาณาจักรล้านช้าง พร้อมทั้งได้นำเอา พระพุทธรูปและพระธรรมคัมภีร์ ตลอดถึงนักปราชญ์ราชบัณฑิตและช่างฝีมือกลับไปด้วย จึงเป็นไปได้ว่า อักษรฝักขามของล้านนาจึงเข้ามามีอิทธิพลต่ออักษรไทยน้อยซึ่งอักษรฝักขามนั้นก็ได้คลี่คลายหรือพัฒนามา จากอักษรไทยสุโขทัยสมัยพระยาลิไทเหมือนกัน ฉะนั้นการแพร่กระจายของอักษรสุโขทัยเข้าสู่ดินแดนอาณาจักร ล้านช้างหรือชุมชนลุ่มแม่น้ำโขงนั้นสรุปจากที่ศาสตาจารย์ธวัช ปุณโณทก [๑] ได้กล่าวสรุปไว้ ๒ ระยะด้วยกัน ดังนี้ ๑. ระยะแรกของการแพร่กระจายอักษรสุโขทัยเข้าสู่ลุ่มแม่น้ำโขงโดยตรง ๑.๑ เหตุผลทางด้านประวัติศาสตร์ จากหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์พบว่า อาณาจักร สุโขทัยได้ติดต่อกับดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงและมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดในฐานะที่เป็นรัฐไทยด้วยกัน เช่น ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงได้กล่าวถึงดินแดนอาณาจักรสุโขทัยและชุมชนลุ่มแม่น้ำโขงหลายครั้งในศิลาจารึก ของพ่อขุนรามคำแหง(หลักที่ ๑) เช่น - ??ทั้งมาลาวกาวและไทย เมืองใต้หล้าฟ้า?ไทยชาวอูชาวของมาออก? - ??เท่าฝั่งของถึงเวียงจันทน์เวียงคำเป็นที่แล้ว?? ในสมัยพระยาลิไท ดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงได้มีผู้นำชุมชนรวบรวมเป็นรัฐเอกราชชื่อว่า พระเจ้าฟ้างุ้ม ซึ่งเป็นการเริ่มต้นประวัติศาสตร์ในดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงสืบต่อมา ส่วนพระยาลิไทเองก็ยอมรับ ความเป็นเอกราชของพระเจ้าฟ้างุ้มดังปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๘ (เขาสุมนกูฏ)ว่า ??เบื้องตะวันออก?เถิงของพระญาท้าวฟางอม?? จากข้อความนี้แสดงให้เห็นว่าพระยาลิไทนั้นทรงยอมรับความเป็นรัฐที่อยู่ในการปกครอง ของพระเจ้าฟ้าง้อม(ฟ้างุ้ม)ว่าเป็นรัฐอิสระหรือเป็นรัฐเอกราช ในตำนานมูลศาสนาซึ่งเป็นตำนานการเผยแผ่ศาสนา ได้กล่าวถึงพระภิกษุเมืองสุโขทัย ๘ รูป ที่ศึกษาพระพุทธศาสนาที่สำนักพระอุทุมพรมหาสวามีแห่งเมืองพัน(ลัทธิลังกาวงศ์แบบรามัญ)ซึ่งเป็น พระพุทธศาสนาที่ฟื้นฟูขึ้นในรัชสมัยพระยาลิไท ครั้นกลับมาถึงสุโขทัยแล้วต่างแยกย้ายกันไปเผยแผ่ พุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์แบบรามัญในรัฐที่เป็นชนชาติไทย โดยได้กล่าวถึงพระสุวรรณคีรีเถระไปเผยแผ่ พุทธศาสนาที่หลวงพระบางว่า ??เจ้าสุวัณณคีรีเอาศาสนาไปประดิษฐานในเมืองชะวา(ชื่อเดิมของเมืองหลวงพระบาง)?? ๑.๒ เหตุผลทางด้านรูปแบบตัวอักษร พระสุวรรณคีรีเถระที่นำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ที่ เมืองหลวงพระบาง ก็คงจะนำเอาตัวอักษรสุโขทัยสมัยพระยาลิไทไปใช้บันทึกเรื่องราวทางพุทธศาสนา เช่นเดียวกันซึ่งเป็นการแพร่กระจายอักษรสุโขทัยเข้าสู่ดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงด้วย เช่น จารึกลายเขียนสีที่ผนังถ้ำ นางอัน(ห่างจากเมืองหลวงพระบางไปทางทิศตะวันตก ๒๕ กิโลเมตร)เป็นตัวอย่างอักษรสุโขทัยสมัยพระยาลิไท ที่เข้าสู่ดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงในสมัยนั้น ส่วนศิลาจารึกวัดแดนเมือง สร้าง พ.ศ.๒๐๗๓ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ห่าง กันมาก พบว่ามีอักขรวิธีของอักษรตัวธรรมเข้ามาปะปนบ้าง แต่รูปแบบตัวอักษรยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก แสดงให้เห็นว่าตัวอักษรสุโขทัยในสมัยพระยาลิไทยนั้นก็ยังใช้สืบเนื่องมาจนถึงยุคที่วัฒนธรรมจากอาณาจักร ล้านนาเชียงใหม่ข้ามามีอิทธิพลต่อดินแดนลุ่มแม่น้ำโขง ๒.ระยะที่ ๒ เป็นการแพร่กระจายอักษรสุโขทัยเข้าสู่ลุ่มแม่น้ำโขงโดยผ่านทางอาณาจักรล้านนาเชียงใหม่ ๒.๑ เหตุผลทางด้านประวัติศาสตร์ ชุมชุนลุ่มแม่น้ำโขงมีความใกล้ชิดกับภาคเหนือหรือ อาณาจักรล้านนามาโดยตลอด โดยเฉพาะสมัยตอนปลายราชวงศ์มังรายนับตั้งแต่สมัยพระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔-๒๐๓๐) เป็นต้นมา พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก พระสงฆ์มีความสันทัดในพระไตรปิฎก ตลอดถึงได้มีการทำสังคายนาพระธรรมวินัยขึ้น และคัมภีร์เหล่านั้นได้แพร่กระจายไปสู่อาณาจักรล้านช้าง ในสมัยพระเจ้าวิชุลราชบ้างในสมัยพระเจ้าโพธิสาลราชบ้าง ในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชบ้างดังกล่าวข้างต้น ทำให้อักษรฝักขาม (ซึ่งพัฒนามาจากอักษรไทยสมัยพระยาลิไทที่พระสุมนเถระนำเข้าไปพร้อมกับการเผยแพร่ พุทธศาสนาในดินแดนล้านนาในสมัยเดียวกันกับพระสุวรรณคีรีเถระที่มาเผยแผ่ศาสนาในล้านช้าง) ที่ใช้กัน อย่างแพร่หลายในล้านนาในสมัยนั้นแพร่กระจายเข้าสู่ดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงเป็นอย่างมาก ฉะนั้นตัวอักษร ฝักขามซึ่งมีลักษณะคล้ายกับอักษรสุโขทัยสมัยพระยาลิไทซึ่งเข้าไปมีอิทธิพลอยู่ในดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงอยู่ก่อน แล้วยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น ตัวอักษรสุโขทัยสมัยพระยาลิไทผสมผสานกับตัวอักษรฝักขามที่เข้าไปสู่ดินแดนลุ่ม แม่น้ำโขงได้พัฒนารูปแบบอักษรเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มคนลุ่มแม่น้ำโขง ในที่สุดรูปแบบสัณฐานก็ พัฒนาต่างไปจากอักษรต้นแบบจึงมีชื่อเรียกว่า ?อักษรไทยน้อย? และอักษรไทยน้อยในระยะแรกนี้ได้เป็น ต้นแบบของอักษรไทยน้อยในระยะหลังรวมถึงตัวอักษรลาวในปัจจุบันด้วย ๒.๒ เหตุผลทางด้านตัวอักษร จากการศึกษาศิลาจารึกที่สร้างขึ้นในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ตอนปลาย ในดินแดนลุ่มแม่น้ำโขงพบว่า อักษรไทยน้อยมีลักษณะเดียวกันกับอักษรฝักขามในภาคเหนือทั้ง รูปแบบและตัวอักษร และมีอักษรธรรมบางตัวและอักขรวิธีของอักษรธรรมบางส่วนเข้ามาปะปนกับอักษร ไทยน้อย (การใช้พยัญชนะตัวเฟื้องเป็นต้น) ซึ่งรูปแบบดังกล่าวก็คือรูปแบบอักษรยวนของเชียงใหม่เข้ามา ปะปนกับอักษรฝักขาม ฉะนั้นจึงเชื่อได้ว่าอักษรไทยน้อยนั้นได้รับอิทธิพลจากอักษรฝักขามของภาคเหนือ อีกสมัยหนึ่ง และได้พัฒนารูปแบบสัณฐานและอักขรวิธีเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนแบบค่อยเป็นค่อยไปจาก อักษรฝักขามและอักษรสุโขทัยสมัยพระยาลิไทมากขึ้นตามลำดับ อักษรไทยน้อยที่ถือว่าเป็นต้นแบบของอักษรไทยน้อยในปัจจุบันซึ่งพบเห็นการคลี่คลายที่เริ่มแตกต่าง จากอักษรไทยสมัยสุโขทัยโดยได้พบวิธีการเขียนที่ใชัพยัญชนะซ้อนกันสองตัวแบบย่อ โดยที่พยัญชนะตัวหน้า ใช้ตัวเต็ม ส่วนพยัญชนะตัวหลังใช้ครึ่งตัวหลังโดยจะเห็นการใช้มากในสมัยหลัง ได้แก่ การเขียน ห นำ คือ ห นำ ม (<)และ ห นำ นำ (O) ซึ่งวิธีการดังกล่าวไม่พบในอักขรวิธีอักษรสมัยสุโขทัย วิธีการเขียนดังกล่าว เริ่มปรากฏในจารึกแดนเมือง (พ.ศ. ๒๐๗๓) เป็นต้นมา หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของอักษรไทยน้อย เริ่มหัวข้อโดย: เต้ อุบล ที่ 05 ตุลาคม 2554, 00:04:48 ขอขอบพระคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.bl.msu.ac.th/bailan/P_thai1.htm
หัวข้อ: Re: ความเป็นมาของอักษรไทยน้อย เริ่มหัวข้อโดย: MaiUbon ที่ 05 ตุลาคม 2554, 15:26:45 เยี่ยมครับ 007
|