หัวข้อ: ***ตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์*** เริ่มหัวข้อโดย: คนโก้ ที่ 10 สิงหาคม 2554, 07:00:32 ตำนานพระเจ้า ๕ พระองค์
ตำนานเล่าขานมาว่า ในครั้งพุทธกาลที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณะโคดมของเรายังทรงมีพระชนม์อยู่ พระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก และพระสงฆ์สาวกได้ทูลถามถึงอุบัติบังเกิดแห่งพระพุทธเจ้า ที่ได้มาตรัสรู้ในภัทรกัปนี้ถึง ๕ พระองค์ พระพุทธเจ้ามีพุทธฎีกาทรงเทศนาเรื่องที่ถาม โดยตรัสเล่าถึงนิทานกาเผือกอันเป็นปฐมกรรมของพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ ได้เสวยพระชาติเป็นลูกกาเผือกว่า มีท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง จุติจากชาติพรหมชั้นสุทธาวาส มาบังเกิดเป็นกาเผือกในชมพูทวีปตามบุพกรรม นางกาเผือกทำรังอยู่ ณ ต้นไม้อุทุมพร (ไม้เดื่อ) ริมคงคานที กาเผือกตกไข่ออก ๕ ฟอง ซึ่งพระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ พระองค์ มาอุบัติในไข่ของกาเผือกนั้นตามกรรมบันดาล นางกาเผือกฟักไข่อยู่ถึงไตรมาส (๓ เดือน) ไข่ก็ไม่เบาะแตก นางกาทรมานมากทนความหิวโหยไม่ไหวจึงออกเที่ยวหาอาหารเลี้ยงชีพ ในวันนั้นบังเกิดลมพายุใหญ่พัดแรงฝนตกอย่างหนัก พายุพัดไม้เดื่อที่นางกาเผือกทำรังหักโค่นลงในแม่น้ำคงคา ไข่ทั้ง ๕ ฟองของกาเผือกถูกน้ำพัดไปคนละทิศละทาง ครั้นลมฝนสงบลง นางกาบินกลับสู่รัง เห็นไม้เดื่อโค่นลงในน้ำรังไข่และไข่ถูกน้ำพัดหายไปหมด นางเกิดความโทมนัสยิ่งนัก ถึงกับอกแตกแยกออกเป็นสองซีกตาย แล้วไปบังเกิดเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส มีนามว่าท้าวผกามหาพรหม กล่าวถึงไข่ของนางกาเผือกที่น้ำพัดพาไปนั้น ไข่ฟองที่ ๑ ไปตกค้างอยู่ที่เกาะไก่ ริมหนองหารหลวง แม่ไก่ในเกาะนั้นนำไปฟัก เกิดเป็นไก่ผู้เผือกให้นามตามโคตรของแม่เลี้ยงว่า ?กุกุสันโธ? ไข่ฟองที่ ๒ ไปตกค้างอยู่ที่เกาะนาคแห่งหนึ่งริมแม่น้ำคงคา แม่นาคนำไปฟักกกเกิดเป็นนาคผู้เผือก ให้นามตามโคตรของแม่เลี้ยงว่า ?โกนาคมโน? ไข่ฟองที่ ๓ ไปตกค้างอยู่ที่เกาะเต่าแห่งหนึ่ง ริมแม่น้ำคงคา แม่เต่านำไปฟักกกเกิดเป็นเต่าผู้เผือก ให้นามตามโคตรแม่เลี้ยงว่า ?กัสสโป? ไข่ฟองที่ ๔ ไปตกค้างที่ป่าโคแห่งหนึ่ง แม่โคในป่านั้นนำไปฟักกก เกิดเป็นโคผู้เผือก ให้นามตามโคตรของแม่เลี้ยงว่า ?โคตโม? ไข่ฟองที่ ๕ ไปตกค้างอยู่ที่สวนตรีพราหมณ์ ชาวศักยราชในแคว้นกรุงอุดรปัญจมหานคร พราหมณ์ ๓ สหายไปเที่ยวชมสวนพบไข่เห็นไข่แปลกกว่าไข่สัตว์ธรรมดา จึงนำไปให้นางสิงห์พราหมณีทั้ง ๓ ผู้เป็นภรรยา ฟักกกไว้ที่บ้าน ไข่นั้นแตกเบาะออกเป็นกุมารมนุษย์ผู้ชาย รูปโฉมผิวพรรณบริสุทธิ์ยิ่งกว่ามนุษย์ทั้งหลาย จึงให้นามตามโคตรสกุลของผู้เป็นแม่เลี้ยงว่า ?อริยไมตรีบุตร? (อริยะหมายถึงชาติ อริยกะคือวงศ์อริยเจ้า ไมตรีหมายถึงพราหมณีทั้ง ๓ มีไมตรีจิตต่อกันเป็นอันดี) พระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ ออยู่กับมารดาเลี้ยงของตน ต่างเจริญวัยขึ้นถึง ๑๖ ปีบริบูรณ์ มารดาเลี้ยงจึงได้เล่าเหตุอันมีมาแต่หนหลังให้บุตรของตนฟัง พระโพธิสัตว์เมื่อได้ฟังและทราบจากมารดาเลี้ยงเช่นนั้น ต่างองค์ก็คิดว่า หากจะอยู่กับแม่เลี้ยงก็คงจะไม่ได้เห็นหน้าแม่เกิดของตนแน่ จึงต่างได้อำลาแม่เลี้ยงไปเที่ยวหาแม่เกิด ก่อนไปได้พูดกับแม่เลี้ยงว่า ถ้าพบแม่เกิดแล้วก็จะรักษาศิลเมตตาภาวนาปรารถนาพระพุทธภูมิ ซึ่งแม่เลี้ยงก็อนุญาต และกล่าววาจาให้พร ขอให้สำเร็จความปรารถนา พร้อมกับสั่งว่าเมื่อสำเร็จพระพุทธภูมิขออย่าละทิ้งนามโคตรของแม่เลี้ยง พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๑ ได้เที่ยวเสาะแสวงหาแม่เกิดไปในที่ต่างๆ ไม่พบ เมื่อหมดความหวังแล้วก็กลับไปรักษาศิลจำเริญเมตตาภาวนาอยู่ที่เกาะไก่ถิ่นมารดาเลี้ยง ภายใต้ร่มชัยพฤกษ์ ซึ่งมีดอกใบร่มเงาเป็นรมณียสถานอันอุดม พระโพธิสัตว์เจ้าอีก ๔ พระองค์ ต่างองค์ก็ต่างเสาะแสวงหาแม่เกิดยังสถานที่ต่างๆ จนในที่สุดได้มาพบพระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๑ ที่เกาะไก่ทุกพระองค์ โดยองค์ที่ ๒ มาพบก่อนแล้ว องค์ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕ เดินทางมาพบตามลำดับ เมื่อได้สอบถามความเป็นมาของชีวิต ทราบว่าเป็นพี่น้องกันและกัน แต่เวรกรรมทำให้พลัดพรากกันตั้งแต่ครั้งเป็นไข่กาเผือก ได้แม่เลี้ยงต่างชาติพันธุ์นำไปกกฟักเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ได้มาพบกัน จึงมีความปิติปราโมทย์อย่างยิ่ง ทั้ง ๕ พระองค์จึงอยู่ร่วมบำเพ็ญบารมีปรารถนาพระพุทธภูมิด้วยกันที่เกาะไก่จนครบ ๓ ปี ก็ไม่มีโอกาสได้พบแม่เกิดของตน จึงปรึกษาและตกลงกันว่า จะออกเที่ยวหาไปอีกทางทิศประจิมและทักษิณ ก่อนจะไปไก่ได้พูดว่า ที่นี่เป็นที่เกิดของเรา พี่น้องทุกคนได้พบกัน ณ สถานที่แห่งนี้ และบำเพ็ญตั้งความปรารถนาพระพุทธภูมิด้วยกัน เราไม่ควรลืมบุญคุณชัยพฤกษ์ต้นนี้ พระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ จึงให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันไว้ว่า ถ้าผู้ใดได้สำเร็จพระสัพพัญญูแล้ว ให้มาเหยียบรอยพระบาทไว้ในที่นี้เป็นเครื่องหมาย โพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ ร่วมเดินทางไปทางทิศประจิมภาคเหนือ ถึงดอยที่มีนามว่า สิงคุตระตั้งอยู่ริมฝั่งคงคานที มีดอยบริวารอยู่ ๙ ลูก เป็นรมนียสถานประเสริฐอันอุดม จึงพร้อมกันสมาทานศีลปฏิบัติ ตั้งสัจจะวาจาต่อกันว่า ถ้าเราไม่พบแม่เกิดในที่นี้ เราจักไม่ไปที่ใดอีก แม้อายุสังขารจะดับสูญไปก็ตามที พระโพธิสัตว์เจ้าพร้อมกันกระทำความเพียรอยู่จนครบ ๖ ปี ก็ยังไม่พบมารดาเกิด อริยไมตรีจึงปรึกษากับพี่ทั้งหมดว่า ควรเราจะตั้งสัตย์อธิษฐานถ้าแม้นว่าจะสำเร็จพระพุทธภูมิตามปรารถนาแล้ว ก็ขอพบมารดาเกิด ผู้ใดเป็นมารดาเกิดของเรา จงมาปรากฏแก่เรา ณ กาลบัดนี้เทอญ เมื่อตกลงกันต่างองค์ก็ได้ตั้งสัจจะอธิษฐานตามนั้น เดชะบารมีที่ได้สร้างสมอบรมมาหลายภพหลายชาติ แรงความสัตย์ปรารถนานี้ก็ปรากฏแก่ทิพยโสต ท้าวผกามหาพรหมชั้นสุทธาวาส และรู้แจ้งด้วยทิพยจักษุว่า บุตรของตนเมื่อครั้งเกิดเป็นกาเผือก ยังมีชีวิตอยู่ทั้ง ๕ พระองค์ และล้วนเป็นหน่อพุทธางกูร กาลนั้นท้าวผกาพรหมจึงอธิษฐานตนให้เป็นกาเผือก มีขนปิกหางขาวบริสุทธิ์ ร่างกายใหญ่โตองอาจงดงาม เสด็จร่อนมาปรากฏกายอยู่ท่ามกลางพระโพธิ์สัตว์ทั้ง ๕ พระองค์ แล้วกล่าวสุนทรวาจาว่า ?ดูก่อนเจ้าทั้ง ๕ นี้เป็นบุตรของแม่นี้แท้จริง กาเผือกพรหมได้เล่าความหลังเมื่อครั้งเสวยชาติเป็นนางกาเผือกให้บุตรฟัง เบื้องนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ เห็นแม่ผู้ให้กำเนิดปรากฏอยู่เฉพาะหน้าตามความปรารถนาแล้ว มีความโสมนัสยิ่งพร้อมกันกระทำเบ็ญจางคประดิษฐ์ กราบไหว้เคารพแล้วทำปทักษิณครบตติยวาร ๓ รอบประกอบความปิติชื่นบาน จึงขอประทานพรต่อพระมารดาว่า ได้ปรารถนาพระพุทธภูมิในเบื้องหน้า ถ้าได้สำเร็จพระสัพพัญญู ขอให้พี่น้องได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าร่วมกันในภัทรกัปอันเดียวกันในอนาคตกาลด้วยเทอญ ซึ่งกาเผือกผกาพรหมผู้มารดาได้กล่าวสุนทรวาจาประทานพรแก่บุตรทั้ง ๕ พระองค์ว่า ?ขอให้สำเร็จพระพุทธภูมิร่วมกันในภัทรกัปเดียวกันดังปรารถนาเทอญ? กล่าวแล้วได้เนรมิตประทีปตีนกาให้องค์ละ ๑ คู่ เพื่อเป็นเครื่องสักการบูชา แล้วท้าวผกาพรหมเสด็จกลับสู่ชั้นสุทธาวาสพรหม ลำดับนั้นทั้ง ๕ โพธิสัตว์มารำลึกว่า สถานที่นี้เป็นที่อันประเสริฐ ด้วยเหตุมารดาบังเกิดเกล้าได้มาปรากฏกายให้เห็น ได้ประทานพร และนิมิตประทีปไว้เป็นที่เคารพ จึงไม่ควรลืมคุณไม้นิโครธต้นนี้ ทั้ง ๕ พระองค์ได้สัญญาตั้งสัจจะต่อกันว่า เมื่อได้สำเร็จพระสัพพัญญูตามปรารถนาแล้วให้นำบริขารหรือวัตถุธาตุสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาประดิษฐ์บูชาเป็นเครื่องหมายไว้ที่ดอยสิงคุตระนี้ สังสารวัฎและการสืบต่อพระโพธิสัตว์ในภัทรกัป ธรรม คือความจริงหรือสิ่งต่างๆ ย่อมตกอยู่ในกฎของธรรมชาติอันได้แก่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับสูญ มนุษย์ก็มีการเกิดพร้อมด้วยอวิชชา (ความไม่รู้) กิเลส (ความเศร้าหมองหมกมุ่น) ตัณหา (ความทะยานอยาก) เป็นเหตุให้มีการประกอบกรรม เพื่อสนองกิเลสตัณหา วิบากกรรมนั้นส่งผลให้เกิดภพเกิดชาติ เวียนว่ายตายเกิดซึ่งเรียกว่า สังสารวัฏ พระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ ซึ่งยังไม่สิ้นกิเลส ตัณหา อวิชชาครอบงำ จึงตกอยู่ในกฎแห่งสังสารวัฏด้วย ต่างองค์ต่างเวียนว่ายตายเกิด ประกอบกุศลกรรม บำเพ็ญบารมีนับภพนับชาติน้อยใหญ่ สืบต่อตามบุรพกรรมเป็นอเนกอนันต์ ซึ่งตำนานเล่าสืบอนุสนธิอ้างอิง ดังนี้ เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้าทั้ง ๕ ได้พบมารดาเกิดตามปรารถนาแล้ว ต่างองค์ก็แยกย้ายจากกันกระทำความเพียร อบรมสั่งสมบารมีให้แก่กล้า ตามอุปนิสัย เวียนว่ายในวัฏหลายภพหลายชาติ ล่วงมาจนถึงภัทรกัป จึงมีพระโพธิสัตว์มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โดยลำดับกาล ๕ พระองค์ คือ ปฐม กุกุสันโธ พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๑ สร้างบารมีมา ๘ อสงไข แสนมหากัป เรียกว่าศรัทธาธิก ยิ่งด้วยศรัทธา ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในต้นภัทรกัป พระองค์เสด็จโปรดเวไนยสัตว์ตามวาระและประเพณีแห่งพุทธภูมิ ก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน ได้เสด็จมาประดิษฐานรอยพระพุทธบาทเบื้องขวาไว้ที่เกาะไก่ตามสัญญาเมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์ มีพระยาสุวรรณนาคเกล็ดเป็นทองคำนำแผ่นศิลามารองรับพระบาทแล้วก็อันตรธานหายไป และพระองค์สัพพัญญูเจ้าได้เสด็จไปสถาปนาไม้ทัณฑะ (ไม้เท้า) เครื่องบริขารไว้ที่ดอยสิงคุตระเป็นเครื่องหมายตามตกลงด้วย ทุติโย โกนาคมโน พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๒ สร้างบารมีได้ ๘ อสงไข แสนมหากัปเรียกศรัทธาธิก ยิ่งด้วยศรัทธา ตติโย กัสสโป พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๓ สร้างบารมีได้ ๘ อสงไข แสนมหากัป เรียกศรัทธาธิก ยิ่งด้วยศรัทธา จตุโถ โคตโม พระโพธิสัตว์เจ้าองค์ที่ ๔ คือพระตถาตคในปัจจุบันนี้ สร้างสมอบรมบารมีได้ ๔ อสงไข แสนมหากัป เรียกปัญญาธิก ยิ่งด้วยปัญญา พระสัพพัญญูเจ้าที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ได้ประกอบพุทธกิจสมบูรณ์ตามพุทธประเพณีแล้วก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ต่างองค์ก็ได้เสด็จประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่ภูน้ำลอด หรือเกาะไก่แห่งนี้ และพระยาสุวรรณนาคเกล็ดทองคำได้นำศิลามารองรับแล้วอันตรธานหายไปในพสุธาเฉกเช่นที่พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑ ได้ทรงปฏิบัติมาทุกประการ และที่ดอยสิงคุตระนั้น พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒ นำพระธรรมการก พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓ นำผ้าอุตราสงฆ์จีวร พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๔ นำพระเกศาธาตุ ๘ เส้น ไปประดิษฐานไว้แล้วตามนัดหมาย และด้วยสัจจังเว อมตา วาจา ความจริงอันเป็นอมตะธรรมนั้น พระศรีอริยเมตไตรเจ้าก็จะเจริญรอยตามคลองพุทธปฏิบัติของทุกพระองค์ที่ล่วงมาโดยแน่แท้ หัวข้อ: Re: ***ตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์*** เริ่มหัวข้อโดย: MaiUbon ที่ 10 สิงหาคม 2554, 16:29:12 มีครั้งหนึ่งตัวผมเองได้มีโอกาสเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่เร็ว วัดหนองโน ท่านเล่าให้ฟังว่าหลวงปู่สวน ท่านได้คาถามาจากก้นบึ้งทะเลลึกและท่านก็ได้นำคาถานี้มาฝึกฝนจนตัวท่านเองมีความชำนาญจึงนำคาถานี้มาปลุกเสกวัตถุมงคลและยึดคาถานี้มาโดตลอด ท่านได้เมตตาเล่าให้หลวงปู่เร็วฟังว่า คาถานี้ถ้านำมาปลุกเสกวัตถุมงคลแล้วเข้าเร็วถึงไวดี และยังมีความศักดิ์สิทธิ์นาๆนับประการ คาถาที่พูดถึงก็คือ พระเจ้าห้าพระองค์(นะ โม พุธ ธา ยะ) นี่และคร๊าบ บบบ ... ขอบคุณค๊าบบบ 007
หัวข้อ: Re: ***ตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์*** เริ่มหัวข้อโดย: คนโก้ ที่ 11 สิงหาคม 2554, 08:24:51 ครับส่วนใหญ่พระบ้านเรามักใช้พระยันต์พระเจ้าห้าพระองค์ (บางท่านเรียกสั้นว่ายันต์ห้า) ลงจารหรือปั๊มหลังเหรียญ แต่อาจมีรูปแบบต่างกันไป แล้วแต่จะคิดขึ้น แต่ต้องมีคำ นะ โม พุธ ธา ยะ เป็นหัวใจสำคัญ 017
หัวข้อ: Re: ***ตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์*** เริ่มหัวข้อโดย: ramin ที่ 14 สิงหาคม 2554, 17:43:49 สาธุ อิมินา สักกาเรนะ ตังพุทธัง ตังธัมมัง ตังสังฆัง กะกุสันธัง โกนาคะมะนัง กัสสะปัง โคตะมัง อาริยะเมตตายัง อะภิปูชะยามิ. [/color]สาธุ สาธุ สาธุ อุกาสะ อุกาสะ ผู้ข้าขอโอกาสอาราธนาเอาคุณพระพุทธเจ้า กะกุสันโธ โกนาคะมะโน กัสสะโป โคตะโม อาริยะเมตตรัยโยเจ้า ทั้งห้าพระองค์ ผู้ข้าขอนิมนต์เสด็จลงมาอยู่ยั้ง ตั้งอยู่ในจักขุทวาร มะโนทวาร สิวาทวาร กายะทวาร ในขันธ์ทั้งห้า ผู้ข้าบำเพ็ญกัมมัฏฐาน ขอจงมาบันดาลเกิดขึ้นให้แก่ผู็ข้า ในกาละบัดนี้เทอญ....สาธุ หัวข้อ: Re: ***ตำนานพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์*** เริ่มหัวข้อโดย: เต้ อุบล ที่ 23 สิงหาคม 2554, 01:52:24 สาธุ..... 017
|