หัวข้อ: คติธรรมคำสอน(พระอาจารย์ จันทรมี อนาโย)หนังสือหน้าอ่าน 1ใน3000เล่มครับ เริ่มหัวข้อโดย: vasan ที่ 15 สิงหาคม 2556, 11:48:29 (http://upic.me/i/0s/2013-08-1511.25.27.jpg) (http://upic.me/show/46518008)
คนมาวัด ?คนมาวัดมาวา มันก็มีอยู่ ๓ ขั้น ๑. ขั้นมาใหม่ คือ มาทำบุญเพื่อเป็นวัฒนธรรม มากินข้าวซุมกันแล้วกะเมือ (มากินข้าวร่วมกันแล้วก็กลับไป) ๒. ขั้นกลาง คือ มาวัดตักบาตรทำบุญ กินข้าว แล้วอยู่ฟังธรรม สนทนาธรรม ๓. ขั้นดี คือ รู้จักมาปฏิบัติธรรม รู้จักมาชำระจิตใจ ทำความสะอาดใจ มาวัดจิต มาวัดใจ คนแบบนี้เขาจึงค่อยเรียกว่าคนมาวัด? ----------------------- ๑.๒ ติดสินบน ?คนทำบุญทุกวันนี้ เป็นการทำบุญเพื่อติดสินบนแก่พระ จะไม่ติดสินบนได้อย่างไร เอาปัจจัยมาถวายแล้วก็บอกว่า ขอโน่น ขอนี่ เช่น ขอให้รวย ขอให้แคล้วคลาด การใช้เงินทำบุญแล้วขอนั่นแหละ คือการติดสินบนพระ แม่นบ่(ใช่ไหม)? ? --------------------------- ๑.๓ ซื้อบุญ ?การถวายปัจจัยเพื่อจะขอให้พ้นทุกข์นั้น อย่าเอาเงินมาซื้อบุญเลย พระเองจะเอาบุญมาจากไหนมากมาย เพื่อมาขายให้พวกโยม ลองคิดดูซิว่า พระเองยังต้องบิณฑบาตขอข้าวจากชาวบ้านหรือพวกโยมอยู่ทุกวันเลย ถ้าอยากได้บุญให้ภาวนา อยากได้บุญหลายๆ ให้ภาวนาเอา บ่แม่นบุญอยู่นำข้อย ข้อยบ่มีบุญมาขายดอก(ไม่ใช่บุญอยู่ที่เรา เราไม่มีบุญมาขายดอก)? ---------------------------- ๑.๔ ความหมายบุญ ?บุญ หมายถึงความสุข ความอิ่มเอิบทางใจ แต่สมัยนี้มักอธิบายเลยไปถึงปัจจัยเงินทองสิ่งของวัตถุสำหรับให้ญาติโยมเอามาถวาย เพื่อจะได้พบความสุข ตั๋วกินตับ(หลอกกินตับ)ญาติโยม ดังนั้นอย่าพากันลุ่มหลงกับวัตถุเงินทองข้าวของหรือแม้แต่ร่างกายภายนอก เพราะสิ่งที่เรามองเห็นอยู่(รูปธรรม) เราไม่สามารถเอาติดตัวไปด้วยได้ แต่สิ่งที่เรามองไม่เห็นนั้น(นามธรรม) เราสามารถเอาติดตัวไปได้ ?เมื่อเราทำนา เราเอาข้าวไว้กิน เราปลูกพืชผักพืชไร่ เราก็เอาผัก เอาพริก เอาถั่วไว้กิน เอาผลผลิตต่างๆ จากที่นามาเป็นประโยชน์ทั้งกินและขาย เปรียบร่างกายของเราเหมือนเป็นที่นา เราเองไม่สามารถเอาร่างกายไปภพชาติหน้าได้ แต่เราสามารถเอาใจที่เป็นผลผลิต ตามไปภพชาติหน้าได้? ๑.๖ เมล็ดพันธุ์พืช ?ผลหมากรากไม้ รูป รส และกลิ่นจะซึมซับเข้าไปถึงส่วนที่อยู่ภายในสุด ก็คือเมล็ดนั่นเอง ถึงแม้เนื้อของผลไม้คนเราจะกินไปหมดแล้ว แต่ก็ยังเหลือเมล็ด เพื่อนำไปปลูกให้เกิดขึ้นมาใหม่ แล้วคนเราล่ะ ธาตุขันธ์ถึงเวลาต้องจากไป มีอะไรที่เราจะเอาไปได้ด้วยบ้าง? คนที่ทำบาป บาปนั้นจะไปเกาะอยู่ที่ใจของตัวเขาเอง มันจะสะสมอยู่ในใจคล้ายกับเมล็ดพันธุ์พืชที่ไม่ดี นำไปขายใครๆ ก็ไม่อยากซื้อ แล้วเราล่ะ อยากเป็นเมล็ดพันธุ์พืชชนิดดีหรือไม่ดี สำหรับนำไปปลูกในภพชาติหน้า?? ๑.๗ พรหมลิขิต ?พรหมลิขิต หมายถึงอะไร? พรหมลิขิต หมายความถึง เส้นทางกรรม กรรมมีทั้งกรรมดี กรรมชั่ว เราก็รู้ๆ กันอยู่ กรรมก็คล้ายเราปลูกต้นไม้ เฮาปลูกบักมี่(ขนุน)มันก็ต้องเป็นบักมี่ เฮาปลูกบักหุ่ง(มะละกอ)มันกะต้องเป็นบักหุ่ง ใครที่ทำกรรมอะไรไว้ก็จะได้รับผลกรรมอันนั้น เพียงแต่ว่าจะเกิดขึ้นเวลาใดเท่านั้นแหละ? ๑.๘ กรรมกำกับ ?การเดินทางของใจเรานั้นจะมีกรรมเป็นผู้กำหนด แม้ว่าเราหมดชีวิตตายไปแล้ว กรรมก็จะเป็นผู้กำกับเราตลอดไป เปรียบเหมือนว่าเราเขียนหนังสือเอาไว้นานแล้ว ต่อเมื่อเราถือไปเดินเรื่องใหม่ ก็จะกลายเป็นเรื่องใหม่ตามมานั่นเอง? ?๑.๙ ธรรมชาติให้มา ธรรมชาติให้คนเรามาไม่มีใครเกินกันหรอก มีสุข มีทุกข์ มีอิ่ม มีหิว มีหัวเราะ มีร้องไห้ มีเจ็บ มีป่วย สารพัดที่จะเป็น สิ่งเหล่านี้ ได้มาไม่แตกต่างกัน เราเกิดมาในโลกเดียวกัน มีโอกาส เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันหมด เพราะธรรมชาติให้มาเหมือนกัน ส่วนที่แตกต่างก็คือ หัวใจ สติปัญญา หรือชาติตระกูล เราอยู่ภพเดียวกันนี่นา ทำไมจะไปด้วยกันไม่ได้?? ๑.๑๐ เท่ากันทุกคน ?เห็นเขาใส่สูท ขับรถราคาแพง ใส่เครื่องประดับมากมาย เขามีเกินเราไหม? อาตมาว่าธรรมชาติให้มาเท่ากันทุกคนนะ เช่นว่า อาหารมีรสชาติดีแค่ไหน เวลาออกมาก็มีแต่ของเสื่อม เน่าเหม็นเหมือนกันหมด ชีวิตของแต่ละคนก็เช่นกัน เมื่อถึงกาลถึงเวลามันมาถึง ก็จะต้องเสื่อม เจ็บป่วย และตายในที่สุด? ๑.๑๑ กลัวบาป ?เวลาเขาหาเสียงเขาเอาเงินมาแจกเรา เรารับแล้วก็บอกว่าถ้าไม่เลือกก็กลัวบาป แต่เวลาเราโกหกพ่อแม่ ครูอาจารย์ ลูกเมีย สามี หรือญาติเรา เรากลับไม่กลัวบาป เออ! มันเป็นจั่งใด๋ซั่นน่ะ(มันเป็นอย่างไรล่ะ)? ๑.๑๒ เสพข่าว ?เถาวัลย์ พันต้นไม้ เอาไม้ใหญ่เป็นที่อยู่อาศัย นานวันเข้าก็จะคลุมจนต้นไม้ตาย คล้ายกับการที่ชาวบ้านเสพข่าวทางเดียว นานวันเข้าก็จะตกเป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่เขาไปเล่นละครให้เราดู เขาสวมสูทและผูกผ้าพันคอโก้หรู แต่ใช้วาจาด่าทอกันออกโทรทัศน์ให้เราดู ให้เราฟัง ทำไมเราไม่พากันวิเคราะห์หรือพิจารณาดูให้ละเอียดถี่ถ้วน ว่าเราควรที่จะ เสพข่าว ทางสื่อโทรทัศน์อย่างไร จึงจะเหมาะสม?? ๑.๑๓ วัฒนธรรม(ครอบงำศาสนา) ?เราจะต้องมีหลักของใจ เราอย่าเชื่อคนง่าย ต้องวิเคราะห์ให้ละเอียดและถี่ถ้วนเสียก่อน ที่สำคัญเราต้องลงมือทำด้วยตนเอง แก้ไขด้วยตัวเอง พวกเราชอบเชื่อหมอดู เชื่อพิธีกรรมบวงสรวง ชอบเอาวัฒนธรรมมาครอบงำศาสนา เคยเห็นคนเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลหนีชาติตระกูลไหม? พวกเขาไม่สามรถหนีใจตนเองหรือเปลี่ยนใจตนเองได้หรอก ถ้าเราเชื่อว่าสวดมนต์อันนั้นอันนี้ได้ยี่สิบรอบจะได้ขึ้นสวรรค์ สวดร้อยรอบพันรอบจะได้ถึงพระอรหันต์ เขาก็ได้เป็นอรหันต์กันหมดแล้วตั๋วะ(แล้วสิ)? ๑.๑๔ ประเพณี(ก็ยังครอบงำศาสนาอีก) ?เราสังเกตดูว่าคนทั่วไปแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นวัฒนธรรม อันไหนเป็นประเพณี อันไหนเป็นศาสนาพุทธ เช่น ฝ้ายผูกแขนกันผีกันสาง อันนี้ก็ไม่ใช่ของชาวพุทธ สร้างวัด สร้างศาลา โบสถ์ วิหารเอาไว้เป็นแหล่งท่องเที่ยว อันนี้ก็ไม่ใช่แนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ พิธีสู่ขวัญ ก็ไม่ใช่แนวทางที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้อีกนั่นแหละ ประเพณีแข่งเรือแล้วบอกว่าบุญแข่งเรือ อันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องของบุญ อย่าเอาประเพณีมาครอบงำศาสนาอีกเด้อ! มันบ่แม่น เข้าใจบ่?? ๑.๑๕ แห่กัณฑ์หลอน (กัณฑ์สมโภชน์) ?พากันตีกลอง ตีฉิ่งตีฉาบ ดื่มเหล้าเมายาฟ้อนรำแล้วพากันแห่กัณฑ์หลอน(แห่กัณฑ์สมโภชน์)ไปขอเงินตามหมู่บ้าน หลวงปู่ฝั้น ท่านฟังเป็นธรรม คือ ท่านได้ยินเสียงกลองหางเขาตี เวลาเขาไปขอบริจาคในหมู่บ้าน เสียงกลองจะตีดังเปิดเปิ่ง หลวงปู่ฝั้นท่านฟังเป็นว่าซ่างเถิ้ด ส่วนเสียงแฉ่ง(ฉาบ) ท่านก็ฟังว่าเกลี้ยงแอ้ดแสด(หมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ) จะไม่ให้เกลี้ยงได้ยังไง เพราะงานก็เล็กอะไรก็หมด นี่แหละผู้ท่านฟังเป็นธรรม? ๑.๑๖ เรื่องของชื่อ ?การที่คนมาทำบุญอุทิศส่วนกุศล มีข้อคิดมากมายหลายอย่าง เช่น คนชื่อหอม คนชื่อเจริญ คนชื่อนายรวย นายทอง นางเงิน ทุกคน ก็ต้องตาย คนชื่อรวย รวยเหมือนชื่อไหม? ชื่อเจริญ เจริญเหมือนชื่อไหม? ชื่อนายทอง นางเงิน มีเงินสมชื่อทุกคนไหม? อีกหลายคนพากันเปลี่ยนชื่อใหม่ แต่พวกเขาไม่ยอมเปลี่ยนนิสัย ยังคงใช้นิสัยเดิมอยู่ คนเราขอให้ดูที่การกระทำ ดูการปฏิบัติ เพื่อให้หนีจากกิเลส หนีจากโลภ หนีจากโกรธ หนีจากความหลง หนีจากภพ หนีจากชาติ เฮ็ดได้บ่ (ทำได้ไหม)?? ๑.๑๗ ลายมือ ?คนโบร่ำโบราณ พาคิดพาเชื่อเรื่องเส้นลายมือ ว่าลายมือแบบนั้นจะเป็นอย่างนี้ ลายมือแบบนี้จะเป็นอย่างโน้น เช่นคนมีเส้นลายมือตัดผ่า (ลายมือที่มีเส้นผ่ากลางเส้นเดียว) จะตายโหง คนที่กลัวก็จะเชื่อ อาตมาอยากถามหน่อยว่า มีลายมือไหนบ้างที่ไม่ตาย? ก็เห็นต้องตายอยู่ทุกคนนี่น่า หมูหมา กาไก่ ลิงค่าง บ่างชะนี พวกสัตว์ต่างๆ มันมีลายมืออะไรกันล่ะ มันคือตายเหมิดทุกโตแม่นแท้ หมา แมว นก แมลง มันคือพากันบินหรือพากันแลนออกมาให้รถตำตายอยู่ซั่นหน่า มันมีลายมือตัดผ่าบ่ซั่นหน่ะ โอ้ย กะบ่คิดเบิ่งแด่ (มันทำไมตายหมดทุกตัว ยิ่งพวกหมา แมว นก แมลง มันทำไมพากันบินหรือพากันวิ่งออกมาให้รถชนตายอยู่นี่น่า มันมีลายมือผ่ากลางหรือเปล่า โอ๊ย ก็ไม่คิดดูบ้างน้อ!) ๑.๑๘ งานวันเกิด ?การจัดงานวันเกิด ฉลองวันเกิด ยินดีในวันเกิด อาตมาไม่ยินดีในวันเกิดเด้อ เราไม่เคยจัดงานวันเกิด เราเกิดครั้งเดียวนั่นแหละ และผ่านมานานแล้ว ส่วนปีนี้เราไม่ได้มาเกิด เราจะไม่เกิดทุกๆ ปีนะ เราไม่เกิดอีกหรอก พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้แนวทางเดินแบบนี้ การเกิดนั้นเราต้องคำนึงถึงการเกิดอยู่ที่ใจ ซึ่งไม่เกี่ยวกับเวลาแห่งการเกิด แต่ดูสิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจ? ๑.๑๙ ประกันชีวิต ?บริษัทประกันชีวิต เขาประกันชีวิตไม่ให้ตายได้อยู่หรือ? บริษัทประกันชีวิตที่มั่นคงมีมาตรฐานชั้นหนึ่งคือจมูก(ลมหายใจ) ส่วนพ.ร.บ.รองลงมาคือปาก ประกันเป็นมื้อๆ (เช้า เที่ยง เย็น) บางทียังมีมื้อดึกเอาเข้าปากอีกอยู่นะ ซึ่งเป็นการประกันภายนอกและพอจะประกันได้ ส่วนการประกันภายใน โดยเฉพาะเรื่องของ ?ใจ? เราจะเอาอะไรมาประกัน อันนี้ก็เป็นเรื่องของใครของมันที่จะคิดจะวิเคราะห์? ๑.๒๐ เสีย-เน่า ?ทุกวันนี้เราอยู่กับของเสีย ตัวอย่างเช่น เสียเงินไปซื้ออาหาร เสียเงินเติมน้ำมันรถ และเราก็เสียความเป็นหนุ่ม แต่กลับได้ความแก่มาแทน? ?ปลาเน่าเอาเฮดปลาแดกคือพากันมักแท้ แต่คนเน่าเด่ะ ซิเอาอีหยังหมักจั่งซิอยู่ คันบ่พากันเอาศีลเอาธรรมมาหมัก หมักก็ต้องหมักก่อนตาย แห่งดีตั๋ว เพราะคนมันเน่าก่อนตายนี่ตี้แย่หลาย (ปลาเน่าเอาไปทำปลาร้าทำไมพากันชอบจัง แต่คนเน่าล่ะ เอาอะไรมาหมักถึงจะอยู่ ถ้าไม่เอาศีลเอาธรรมมาหมัก หมักก็ต้องหมักก่อนตาย จึงจะยิ่งดีสิ เพราะคนเราเน่าก่อนตายนี่ ยิ่งแย่มากๆ เลย)? ๑.๒๑ เหม็น ?ของเน่าเหม็นออกจากปากเขา เราเสียอีกที่ไปเลียกิน แทนที่เราจะรู้จักควักรู้จักล้วงเอาสิ่งที่ไม่ดีออกจากใจของเราเอง อย่าให้สิ่งเน่าเหม็นภายในใจมันหลงเหลือ ควรล้วงเอาออกมาให้ หมด ที่สำคัญคือเราไม่รู้จักเอาออก เมื่อไม่รู้จักเอาออกจิตของคนเราก็สั่งสมเอาไว้ ถ้าเราสั่งสมแต่ความดีไว้ในดวงจิตมันก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่นี่เอาของเหม็นเน่ามาสั่งสม แล้วเอาออกไม่เป็นนี่สิ? ๑.๒๒ ปากเดียว ?คนเฮาทุกคนต่างก็มีปากเดียว ปากเฮายังเปลี่ยนอาหารการกิน จานแล้วจานเล่า เหมือนใจเฮาใจเดียวแต่เปลี่ยนอารมณ์ ปากเฮาในบางครั้งบริโภคอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ใจของเฮาก็เหมือนกัน ใจบริโภคอารมณ์เสียอารมณ์บูดเน่าของบ่ดี ถ้าอย่างนั้น เฮาก็ต้องเลือกแต่สิ่งดีมาบริโภค แม่นบ่?? ๑.๒๓ อำนาจ ? อำนาจของใครของมัน อำนาจของหมอ หมอเขาสั่งให้อ้าปากเราก็ต้องอ้า หลับตา ลืมตา ลุก นั่ง เปิดก้น สั่งเราได้หมด อำนาจของผู้พิพากษาสามารถสั่งลงโทษประหารชีวิตนักโทษ ถ้ามีโทษที่ไม่สามารถลดได้ แต่ลูกกลับมีอำนาจมากกว่าพ่อแม่ อำนาจของลูกอยู่เหนือพ่อแม่ ลูกสั่งพ่อแม่ได้ทุกอย่าง ดังนั้นคนที่เป็นลูกจึงต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณของบิดามารดา ดูแลท่านเมื่อท่านอายุมากหรือเมื่อท่านเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งทุกคนก็มีพ่อแม่กันทุกคน ก่อนหลับก่อนนอนให้พากันระลึกถึงบุญคุณของบิดามารดาอยู่เสมอ เข้าใจบ่?? ๑.๒๔ เลี้ยงลูกอย่างไร ?การเลี้ยงลูก ถ้าเราไม่อบรมสั่งสอน พ่อแม่ไม่ทำตัวเป็นแบบอย่าง พ่อแม่ก็จะลำบากใจ ลูกๆ ก็ลำบากตาม คือลูกไม่รู้จักช่วยเหลือตนเอง ไม่รู้จักการเสียสละ ไม่รู้จักการเอื้ออาทรผู้อื่น เพราะเขาเคยสบาย เหมือนกับเราจะตีจอบ ตีมีด ตีพร้า หรือเราจะปั้นตุ่มปั้นไห เราต้องทำการนวดดินตีดินจนได้ที่แล้วเอามาเผาไฟอีก จึงจะนำไปใช้ได้ ในส่วนเรื่องของครอบครัว พ่อแม่ก็ต้องหมั่นอบรมสั่งสอนและเป็นแบบอย่างที่ดี รวมถึงเป็นภาระดูแลทุกอย่าง? ๑.๒๕ ดู๋หลังด้าน ค้านหลังหัก ?ภาษาอีสานว่า ดู๋หลังด้าน ค้านหลังหัก พูดเต็มๆ คำว่าคนดู๋เทือเดียวหลังด้าน คนค้านเทือเดียวหลังหัก? แปลว่า คนดู๋(คนขยัน)ครั้งเดียว แผ่นหลังก็ด้าน คนค้าน(เกียจคร้าน)ครั้งเดียว หลังก็หัก หมายความถึง คนขยัน ทำงานอะไรก็ทำจริง แม้ทำคราวเดียวก็อดทนพากเพียรจนหลังด้าน ส่วนคนขี้เกียจสันหลังยาว เวลาจะทำมาหากินก็จะทำเร็วๆ ไวๆ ทีเดียวให้เสร็จ คล้ายกับว่าทำครั้งเดียวให้รวยไปเลย หักโหมเอาครั้งเดียวเวลาเดียวหนักๆ ก็เลยทำไม่ไหว? ๑.๒๖ ตีเข้าไปข้างใน ดังออกข้างนอก ?ตอนที่เราเกิด หมอ พยาบาลเขาทำคลอดเราแล้วเขาก็ตัดรกออกจากร่างกาย เพราะเมื่อถึงกาลถึงเวลาที่เราเกิดก็ถือว่ารกหมดประโยชน์ เหมือนเราต้องรู้จักตัดกิเลสด้วยการสำรวจดูตนเอง เราสำรวจดูภายนอกจากการทำความดีกับสังคม ส่วนการสำรวจภายในก็คือการดูจิตดูใจของตนเอง เมื่อเราโตขึ้นเราไปเรียนหนังสือ เราเคยระลึกถึงบุญคุณของบิดามารดาที่ส่งเสียให้เราได้เรียนไหม? พวกเราเคยคิดไหมหนังสือ ตำรา อุปกรณ์การเรียนที่บิดามารดาให้นั้นมีบุญคุณขนาดไหน? หรือนั่นเป็นเพียงการอวดกิเลส ดังนั้นคนที่ศึกษาเรียนรู้ก็ต้องศึกษาให้เข้าใจจริง รู้ให้จริง จะได้ดีมีชื่อเสียงโด่งดังขจรขจายไปทั่ว เหมือนการตีเข้าไปข้างใน แต่ให้เสียงดังออกข้างนอก คล้ายกับการตีกลอง แต่ทุกวันนี้คนมีชื่อเสียงเพราะคนใช้บักอะโหล โหล โหล อยู่นั่นแหล่ะ? ๑.๒๗ เสียงของใจ ?คนเราเมื่อได้พูดออกไมโครโฟนส่งเสียงดังก็คิดว่าตนเองนั้นดังแล้ว แต่แท้จริงแล้วเสียงอะไรก็ดังไม่เท่าเสียงของใจ แสงอะไรก็ไม่สู้แสงแห่งใจ ปฏิบัติธรรมแล้วใจอยู่เหนือสมมุติจึงจะรู้แท้ แต่คนที่ไม่รู้แท้นั้นก็จะเกิดอุปาทานเรื่องนั้นเรื่องนี้ อุปาทานหลอกกระทั่งตนเอง ใจของเรามีเสียง มีแสง ก็มีอยู่ทั้งในสมมุติและเหนือสมมุติ มันก็คล้ายกับคนนอนหลับแล้วฝัน ซึ่งมีทั้งฝันที่เราเคยเห็นมาจริงๆ กับฝันที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้นควรศึกษาเรื่องของใจ โดยเฉพาะใจของเรา อย่าไปศึกษาเรื่องของใจคนอื่นเขาเลย? ๑.๒๘ วัดพระแก้ว ?เมื่อไหร่ชาวพุทธถึงจะตื่น หากพวกเราไม่พากันตื่น พวกเราก็จะได้เข้าไปอยู่ในวัดพระแก้วเด้อ!? (ชาวอีสานเมื่อตายแล้วเอากระดูกใส่ขวดโหลที่เป็นแก้ว) ๑.๒๙ หวง กับ ห่วง ?คำว่า หวง กับ ห่วง มีความหมายใกล้เคียงกัน เขียนก็เขียนคล้ายกัน ตัวหนึ่งมีไม้เอก อีกตัวหนึ่งไม่มี สำหรับความหมาย หวงนั้น มันกินใจความรวมไปถึงอาการหึงหวง มีความพยาบาทแฝงอยู่ด้วย ส่วนห่วงนั้น แสดงถึงความอาทร เอื้อเฟื้อด้านน้ำจิตน้ำใจ พระพุทธเจ้านั้น พระองค์ทรง ห่วง แต่สำหรับบรรดาเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นหวง พระองค์ท่านจึงทรงกำหนดเส้นทางแห่งการพ้นทุกข์ไว้ให้พวกเราเดินตาม คล้ายกับพ่อแม่ปูที่นอนไว้ให้ เพื่อเราจะได้นอน มันอยู่ที่ว่าเราจะนอนไหม? หรือเฮาซิเยี่ยวใส่บ่อนนอนไว้ให้พ่อแม่เอาไปตากยามมื้อเช้า?? ๑.๓๐ ช่างตีหม้อ ?พ่อแม่และพระพุทธเจ้า ท่านรักเรา อุ้มชูเรา ซึ่งคล้ายกับช่างตีหม้อ ทั้งอุ้มทั้งทะนุถนอม แล้วช่างก็จะลงมือตีหม้อ คือทั้งนวดดิน ทั้งตีทั้งทุบ จนกว่าจะออกมาสวยงาม? ๑.๓๑ บารมี ?ทุกคนมีแต่ความอยากแต่ความรู้ไม่ถึง บารมีไม่พอ เราจึงต้องมาสร้างบารมีให้สูงขึ้น เหมือนครูก็ต้องเรียนเพิ่มเติม อบรมเพิ่มเติม เช่น ในทางเทคโนโลยี แม่ค้าก็ต้องศึกษาด้านการตลาด หาคนที่มีความรู้มาช่วยทำบัญชี หากเราถือตนเองเป็นที่ตั้ง ก็จะติดอยู่ที่เดิมนั้น? ๑.๓๒ ขาดความเพียร ?ทุกวันนี้ คนโง่มีมากกว่าคนฉลาด คนจนมีมากกว่าคนรวย ความทุกข์มีมากกว่าความสุข ความลำบากมีมากกว่าความสบาย ดังนั้น ความชั่วจึงมีมากกว่าความดี เหตุที่คนเขาชอบทำความชั่วมากกว่าความดีนั้น เป็นเพราะการทำความดีทำได้ยาก คนเราจึงไม่อดทน ขาดความเพียรในการทำความดี? ๑.๓๓ คุณกับโทษ ?ของทุกอย่างมีทั้งคุณและมีทั้งโทษ ลองพิจารณาเบิ่งแม้ มีอีหยังแด่ที่มีแต่คุณ บ่มีโทษ แม้กระทั่งลมหายใจมื้อนี้ให้คุณเฮา เฮากะหายใจเป็นปกติดีอยู่ แต่มื้อที่จะให้โทษกะคือมื้อที่เฮาหมดลมหายใจ เป็นหยังจั๋งหายใจบ่ได้ ทั้งๆ ที่คนอื่นก็ยังหายใจดีอยู่ ทุกข์สุดๆ ของคนเฮากะแค่ฮ้องไห้ครวญคราง สุขสุดๆ ของคนเฮากะแค่ยิ้มหรือหัวเราะ ในแต่ละอย่างจะสุขหรือจะทุกข์มากน้อยบ่ท่อกัน มันอยู่ที่ว่าอีหยังซิมาก อีหยังซิน้อยกว่ากัน ท่อนั้นแหละ อันนี้กะเป็นเรื่องของญาติโยมที่ซิคิด? (ของทุกอย่างมีทั้งคุณและมีทั้งโทษ ลองพิจารณาดูสิ มีอะไรบ้างที่มีแต่คุณ ไม่มีโทษ แม้กระทั่งลมหายใจวันนี้ให้คุณเรา เราก็หายใจเป็นปกติดีอยู่ แต่วันที่จะให้โทษก็คือวันที่เราหมดลมหายใจ เป็นยังไงจึงหายใจไม่ได้ ทั้งๆ ที่คนอื่นก็ยังหายใจดีอยู่ ทุกข์สุด ๆ ของคนเราก็แค่ร้องไห้ครวญคราง สุขสุด ๆ ของคนเราก็แค่ยิ้มหรือหัวเราะ ในแต่ละอย่างจะสุขหรือจะทุกข์มากน้อยไม่เท่ากัน มันอยู่ที่ว่าอะไรจะมาก อะไรจะน้อยกว่ากัน เท่านั้นแหละ อันนี้ก็เป็นเรื่องของญาติโยมที่จะคิด) ๑.๓๔ สร้างความดี ละความชั่ว ?คนที่มั่นคงในความดี แสดงว่าเขามีหลักค้ำประกัน สามารถใช้เป็นมัคคุเทศก์นำทางไปสู่ความดีทั้งสองโลก คือ โลกมนุษย์และโลกสวรรค์ คนเหล่านี้ เทวดาก็จะยกย่องสรรเสริญ ส่วนคนที่ไม่ดี ร่างกายเป็นมนุษย์แต่จิตใจเป็นสัตว์ดิรัจฉานที่ดุร้าย มีความริษยาอาฆาต กระทำแต่สิ่งชั่วร้าย ในที่สุดแล้ว หากเขาสร้างทุกข์ให้กับบุคคลอื่นมากเท่าใด กรรมชั่วนั้นก็จะย้อนกลับมาสู่เขาเอง ดังนั้นเราจะสร้างความดีหรือเราจะสร้างความชั่ว ก็เลือกเอาเอง? ๑.๓๕ น้ำขุ่น ?ถ้าน้ำขุ่น เราจะมองเห็นตอไหม? มันก็เหมือนใจเรานี่แหละ ถ้าใจของเราขุ่นมัว เราก็จะมองไม่เห็นความดี เราเองก็ไม่รู้จักการทำบุญที่ถูกต้องว่าเขาทำกันอย่างไร และไม่รู้ว่าการทำความดีมันให้ผลอย่างไร แต่ถ้าจิตใจของเราใส เราก็จะมองเห็นภัยของความชั่ว? ๑.๓๖ เงากิเสส ?กิเลส มันรอเราอยู่ทุกเวลาทุกขณะ คล้ายกับเงาของเรา ให้ลองสังเกตดูเวลาเราฉายไฟใส่เราเอง เงามันเป็นอย่างไร ถึงเงาจะหนีไปทางโน้นทางนี้ แต่เงากิเลสก็จะคอยตามเราอยู่ตลอดเวลาไม่ห่างหาย เพียงแต่เราอย่าเผลอ หากเผลอสติเราก็จะตกเป็นทาสของมัน เผลอไม่ได้จริงๆ กิเลสนี่? ๑.๓๗ ตะเข็บรัดใจ ?ศีลห้า ทุกคนควรรักษาศีลห้าเพื่ออะไร ศีลห้ามีไว้เพื่อเป็นตะเข็บรัดใจไม่ให้เราหนีจากทางเดินของมนุษย์ ไม่ให้หลุดจากคนแล้วไปเป็นสัตว์ ดังนั้นให้ต่างคนต่างรักษาศีล จึงจะเจริญได้? ๑.๓๘ น็อตหรือสลัก ?บ้านในสมัยโบราณเขาใช้สลักยึดทำให้บ้านแน่นหนาถาวร ส่วนบ้านสมัยใหม่เขาใช้น็อตยึด ใจคนเราเมื่อมีอะไรมาเกี่ยวข้องก็มักจะคล้อยตาม ดังนั้นใจของคนเราก็ต้องมีหลักยึดเหนี่ยวเอาไว้ แล้วอะไรจะยึดแทนน็อตหรือสลักได้? ทางด้านจิตใจ ก็คือเอาศีลเอาธรรมยึดจิตใจให้อยู่ ใจเราจะได้ไม่อ่อนไหว? ๑.๓๙ มีกิ๊กมีกั๊ก ?การดำรงชีวิตครอบครัวต้องมีศีล ๕ รองรับ คนเราทุกวันนี้ทำร้ายกันมากที่สุด เนื่องจากทำผิดศีลข้อ ๓ นั่นเอง เมื่อพ่อบ้านหรือแม่บ้านไปมีกิ๊กมีกั๊กนี่เองแหล่ะ การทำผิดศีลข้อนี้ทำให้เกิดความทุกข์มากทางจิตใจ เวลาโมโห อารมณ์มันจะรุนแรง ขึ้นแล้วลงยาก หึงหวงอย่างมาก ขาดสติถึงฆ่ากัน เพราะการมีบ้านเล็กบ้านน้อยนี่ก็มาก ภูมิต้านทานทางจิตใจมีน้อย ความอดทนมีน้อย กว่าจะจืดจางใช้เวลานานมาก ดังนั้นควรแก้ด้วยอสุภะกรรมฐาน เอาใจจดจ่อ พิจารณาแก้ตรงนี้ให้ได้? ๑.๔๐ วัฒนธรรม ?การสวดมนต์ไหว้พระตอนเช้า ตอนเย็น ถ้าเราเพียงท่องได้แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจความหมาย และไม่ลงมือปฏิบัติให้เข้าถึงซึ่งหลักธรรม ก็จะไม่มีความหมายเลย มันก็จะเป็นเพียงวัฒนธรรมเท่านั้น? ๑.๔๑ แก้อารมณ์ ?วิธีแก้อารมณ์ที่ขุ่นมัว ก็ต้องใช้เวลา เนื่องจากเมื่อกาลเวลาผ่านไป อารมณ์ก็จะค่อยๆ ใส หรือที่เราเรียกว่าอารมณ์เย็นลง เหมือนกับน้ำที่ขุ่นมัว ให้พิจารณาว่าน้ำขุ่นปล่อยไว้นาน มันจึงจะใส เราก็ต้องรู้จักยับยั้งอารมณ์ที่ขุ่นมัวทั้งหมด ด้วยการนิ่ง เข้าใจบ่?? ๑.๔๒ คิดให้เป็น ?คนที่ทำมาหากิน สืบมื้อสืบเวน (ปะทังชีวิตไปวันๆ) คิดอะไรทำอะไรก็จะจินตนาการแต่จะให้ได้ดั่งใจ แต่ไม่รู้จักคิดสอนใจตนเอง ก็เลยทำให้เกิดทุกข์ ควรจะคิดถามตนเองทุกๆ วันว่า เราควรเป็นเช่นไร เฮาอย่าฝืนตะเวน(ตะวัน) ให้ไปออกทางทิศตะวันตก ทั้งๆ ที่มันออกทางทิศตะวันออก สิ่งที่เราคิดทุกอย่างจะต้องละเอียดถี่ถ้วน และศึกษาให้ถ่องแท้เสียก่อน? ๑.๔๓ ใจตนเอง ?คนเราจะคิดแบบไหนก็เป็นเรื่องของเราเองอยู่หรอกนะ แต่อย่าคิดหาวิธีทำมาหากินจากบุคคลอื่น แต่ให้คิดหาวิธีทำความสะอาดจิตใจของตนเอง ขจัดกิเลสของตนเองให้หมดไป จะไม่ดีกว่าหรือ ๑.๔๔ ไม่ข้ามใจ ?ถนนสี่เลนแปดเลน คนก็ขับรถอยู่คนละฟาก แยกกันโดยเด็ดขาด แต่แล้วรถมันก็ยังวิ่งข้ามถนนไปชนกันได้ เหมือนใจคนเราที่วิ่งข้ามไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ไม่ควบคุมใจของตนเองเลย ไม่ข้ามใจ แต่ไปวิ่งข้ามถนน? ๑.๔๕ บุญกุศล ?บุญที่แท้จริง คือ การเสียสละทางอารมณ์ เอาอารมณ์ออกจากใจ ส่วนการให้ที่เป็นกุศลที่สุด คือการให้อภัยทางจิตทางใจ ไม่อาฆาตต่อกัน? ๑.๔๖ นับหนึ่งใหม่ ?บุญคุณของญาติโยม ผักเส้นหนึ่ง ข้าวเม็ดหนึ่ง เราก็ไม่เคยลืม เราระลึกเสมอ ก่อนนอนแต่ละวัน เราก็ให้พรและแผ่เมตตาถึงอยู่ทุกวัน ญาติโยมที่ชอบทำบุญด้วยวัตถุข้าวของ ซึ่งมันเป็นของภายนอก พากันเสียสละได้ง่าย แต่ทำบุญทางใจกลับเสียสละได้ยาก ปล่อยวางได้ยาก ขอให้พากันคิดใหม่ว่า ไม่เป็นไรนับหนึ่งใหม่ซะ อย่าพากันยึดติดกับอารมณ์ เราต้องเตือนตนเองอยู่เสมอว่าอารมณ์นั้นๆ ไม่เกิดประโยชน์ อย่าเอามาใส่ใจ เราต้องหมั่นฝึกฝนให้ได้ คล้ายกับเราแกงขี้เหล็ก เราต้มครั้งแรกมันขมจะตาย เราเองต้องต้มต้องเคี่ยวไม่หยุด มันจึงจะเปื่อยแล้วมันก็จะหายขมได้เองแหละ แม่นบ่?? ๑.๔๗ ตรวจเช็ค ?คนทุกคนได้รับธาตุขันธ์จากบิดามารดามาครบ ๓๒ ประการ เมื่อเวลาผ่านไป เรายังต้องทำการตรวจเช็คร่างกายว่าผิดปกติที่ใดหรือไม่ อย่างดีที่เราทำทุกวันคืออาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทุกเช้าเย็น จิตใจก็เหมือนกัน เราก็ต้องพยายามชำระกิเลสให้ออกจากใจทุกเช้าเย็น ยิ่งทำได้ตลอดเวลาก็ยิ่งดี เท่ากับเป็นการตรวจเช็คจิตใจให้ใสสะอาด? ๑.๔๘ ยาเม็ดเล็ก ?ใจของเราถ้าไม่รู้จักลดอัตตา ทิฐิมานะ ก็จะกลายเป็นเรื่องยาก หากลดไม่ได้มันก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าหากเราลดได้ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ บุญกุศลมันก็จะซึมซับเข้าไปคุ้มครองชีวิตเรา รักษาตัวเราได้ เปรียบเหมือนเรากินยาเม็ดเล็กๆ ยาจะค่อยๆ ซึมซับเข้าไปรักษาร่างกาย ทำให้เราหายป่วยได้ในที่สุด? ๑.๔๙ ลับมีด ?การที่เรามีอารมณ์โมโหโทโส ยิ่งนานวันก็ยิ่งร้อนแรง ยิ่งสะสมมากก็ยิ่งแก้ได้ยาก ดังนั้นให้พยายามตัดอารมณ์ขุ่นมัวและร้อนแรงออกไปจากจิตใจของตนเอง ค่อยๆ ตัดเป็นระยะๆ คล้ายกับเราลับมีด ลับบ่อยๆ มีดก็จะคมและไม่มีสนิมมาเกาะ ใจเราก็เหมือนกัน ถ้าเราตัดอารมณ์ร้อนออกบ่อยๆ อารมณ์ร้อนมันจึงจะค่อยหมดไป ถ้าเราไม่ทำแล้วอารมณ์ร้อนมันจะหมดไปได้อย่างไร?? ๑.๕๐ หลีกหนีอารมณ์ ?เวลาที่คนอื่นขัดใจเรา ทำให้เราไม่พอใจ เราเกิดไฟในใจ เป็นอารมณ์โกรธ โมโห ฉุนเฉียว มันก็เปรียบเสมือนไม้ขีดไฟ หากมันไม่ได้ปะทะกัน มันก็อยู่ด้วยกันได้อย่างดี ทั้งตลับก็อยู่ด้วยกันได้ แต่หากเกิดปะทะกัน ก็จะไหม้กันได้ตั้งแต่หัวไม้ขีดลงไปจนถึงก้าน ดังนั้นเราพึงมีปัญญาหลีกหนีอารมณ์นั้น? ๑.๕๑ ขจัดอารมณ์ ?ให้พากันเอาเป็นเอาตายกับอารมณ์ที่บูดเน่า เอาชนะอารมณ์ที่ไม่ดี พยายามขจัดอารมณ์เหล่านั้นออกให้ได้ ให้คิดวิเคราะห์ถึงอารมณ์โมโห สิ่งที่เราขัดใจ สิ่งที่เราทำหรือเขาทำ สิ่งที่ก่อให้เกิดอารมณ์ร้าย เราเองต้องรู้จักวิธีคิด เช่นว่า เราโกรธเขาเรื่องนี้ เราก็เก็บมาคิดและติดอยู่ในใจตลอดเวลา คับแค้นใจเรื่องใดให้เอาเรื่องนั้นมาพิจารณาที่ใจเรา โดยพิจารณาถึงเหตุ มันเกิดกับอะไร ให้ระงับอารมณ์นั้น? ๑.๕๒ กลัว ?คนกลัวป่าช้า สักวันเราก็ต้องไปอยู่ป่าช้า คนกลัวผี ทุกคนก็ต้องตายเป็นผี คนกลัวการเกิด มันยิ่งต้องเวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นพวกเราก็ต้องหาอุบายความคิด มาพิจารณาเรื่องความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ส่วนใครที่สะสมคุณงามความดี บุญก็จะผลักให้เราไปเกิดในที่ดี ใครสะสมความชั่ว บาปก็จะผลักไปเกิดในที่ไม่ดี แล้วเราทำไมยังต้องกลัวอีกล่ะ?? หัวข้อ: Re: คติธรรมคำสอน(พระอาจารย์ จันทรมี อนาโย)หนังสือหน้าอ่าน 1ใน3000เล่มครับ เริ่มหัวข้อโดย: vasan ที่ 09 กันยายน 2556, 15:45:29 ขอโทษเป็นยางมากนะครับรอไฟล์ต้นฉบับจากพ่ออยู่ครับสำหรับเนื้อหาในเล่มนะครับกลับสังคมวันใดแล้วข้าพระเจ้านำมาให้อ่านกันนะครับ 017แล้วจะกลับภาพจังใดครับ
|