หัวข้อ: พระครูวิจิตรธรรมาจารย์ (ประสาร อรหปัจจโย) ศิษฐ์หลวงพ่ออ้วน และหลวงปู่หมุน เริ่มหัวข้อโดย: konlathai ที่ 30 กรกฎาคม 2555, 15:57:48 พระครูวิจิตรธรรมาจารย์ (ประสาร อรหปัจจโย) ชาติกำเนิด พระครูวิจิตธรรมาจารย์ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2471 ที่บ้านโนนผึ้ง ตำบลโนนสัง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นบุตรของคุณพ่อใหญ่ คุณแม่พุก พลชัย มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 9 คน หลวงพ่อเป็นบุตรคนที่ 7 ชื่อเดิมของหลวงพ่อคือพระประสาร พลชัย จึงเป็นที่รู้จักในนาม อาจารย์ประสาร หรืออาจารย์สาร สนใจศึกษาวิทยาคมมาตั้งแต่สมัยยังเด็กครองเพศฆราวาส ชอบติดตามหลวงตาที่วัดโนนผึ้งไปธุดงค์ตามป่าเขาลำเนาไพรซึ่งไม่ไกลจากเขตอำเภอกันทรารมย์ , กันทราลักษณ์ , เดชอุดม , ภูสิงห์ ในละแวกนั้นเมื่อก่อนมีแต่ป่ารกทึบ ฝึกฝนวิชาที่ได้เรียนรู้จากท่าน จวบจนอายุใกล้บวชหลวงตาได้แวะที่วัดโนนค้อ และได้ฝากหลวงปู่ประสารให้กับหลวงปู่อ้วน วัดโนนค้อ ต่อมาหลวงปู่ประสารได้มีโอกาสไปเรียนวิชากับหลวงปู่อ้วนบ้าง แต่พอถึงฤดูทำนาก็ต้องกลับบ้าน จนเมื่ออายุครบบวชก็ได้อุปสมบทที่วัดโนนผึ้ง ประวัติด้านการศึกษาและเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ เมื่อเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หลวงปู่ท่านก็ได้ช่วยพ่อแม่ทำนา อยู่ประมาณ 2 ปี พวกพี่ๆพากันบวชหมดทุกคน หลวงปู่ท่านจึงคิดที่จะบวชบ้าง แต่หลวงปู่ท่านพูดเป็นธรรมนองว่า ถ้าได้บวชแล้วจะไม่ขอลาสิกขา ทางคุณพ่อคุณแม่จึงได้ให้หลวงปู่บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุย่างเข้า 17 ปี ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2488 ณ วัดบ้านดูน อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีพระปลัดแสง กิตฺติญาโน เป็นพระอุปัชฌาย์ ในระหว่างเป็นสามเณรหลวงปู่ท่านได้เล่าเรียนศึกษาความรู้จากสำนักเรียน หลวงปู่ท่านเป็นคนเรียนเก่งและมีความจำที่ดีมากๆ และเป็นที่รักใคร่ของครูอาจารย์ และต่อมาเมื่อหลวงปู่อายุครบ 20 ปีจึงได้ขออาจารย์อุปสมบท ในวัน ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2491 ที่วัดโนนผึ้ง ตำบลโนนสัง อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีพระปลัดแสง กิตฺติญาโน เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการอ้วน โสภโน เป็นพระกรรมวาจารย์ พระอธิการทา โกวิโท เป็นพระอนุสาวนาจารย์ และมีฉายาว่า พระประสาร อรหปจฺจโย และเมื่อบวชเป็นพระแล้วหลวงปู่ท่านได้ศึกษาด้านเวชศาสตร์ และไสยศาสตร์ จากหลวงปู่อ้วนจนจบหลักสูตร และหลวงปู่ท่านได้ศึกษาต่ออีกกับหลวงปู่มุม ที่วัดประสาทเยอ อำเภอไพรบึง และยังไม่พอเท่านั้นหลวงปู่ท่านยังได้ ไปฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงปู่ฝาง ที่อำเภอ ปัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐาน บำเพ็ญเพียรจนช่ำชอง ต่อมาหลวงปู่ประสารมีโอกาสเข้าเมืองหลวง โดยจำพรรษาที่วัดหงส์รัตนาราม บางกอกใหญ่ และได้มีโอกาสศึกษาวิชากับอาจารย์หลายรูปในย่านฝั่งธนบุรี และ กทม. อยู่ที่วัดหงส์รัตนาราม ๓-๔ ปี จึงกลับวัดโนนผึ้ง เพราะต้องช่วยงานก่อสร้างเสนาสนะต่างๆภายในวัด และยังไปช่วยงานที่วัดบ้านโนนค้ออีกด้วย ช่วงที่หลวงปู่ดำเนินการก่อสร้างและบูรณะวัดนั้น ถึงช่วงจากการว่างเว้นการดูแลการก่อสร้าง ท่านจะเข้าไปในป่าซึ่งไม่ไกลจากวัดท่านเพื่อหาว่านต่างๆ ตามที่ท่านมีความรู้ซึ่งได้เคยศึกษามาจากบรรดาครูบาอาจารย์ของท่าน ครั้งหนึ่งหลวงปู่เดินเข้าไปเจอบริเวณลานดินกว้างมองเห็นเป็นเนินดินสูง มีต้นไม้ปกคลุม พอดีมีชาวบ้านจำนวนหนึ่งเข้ามาหาของป่า อาสาถางต้นไม้และทำที่พักถวาย เพื่อเป็นสถานที่ปักกลดของหลวงปู่ ถึงยามกลางคืนเงียบสงบหลวงปู่เริ่มนั่งสมาธิสลับกับการเดินจงกรม ซึ่งคืนแรกนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ แต่มีบางอย่างบอกกับหลวงปู่ว่า สถานที่ที่ท่านใช้ปฏิบัติกรรมฐานอยู่นั้น มีอะไรพิเศษอยู่แน่นอน พอคืนที่สองท่านก็ได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่มาสะกิดใจท่าน นั่นก็คือท่านได้พบดวงไฟสว่างลอยจ้าขึ้นมาจากพื้นดินแล้ววนอยู่ใกล้ๆที่พัก สิ่งนั้นมองเห็นได้ด้วยสายตา ไม่ใช่เกิดจากนิมิต พอรุ่งเช้าชาวบ้านกลุ่มเดิมที่เคยมาจัดสถานที่ให้ท่านได้แวะมาหาท่าน หลวงปู่ไม่ได้เล่าอะไรให้พวกเขาเหล่านั้นฟัง แต่ท่านตั้งข้อสงสัยว่าชาวบ้านสามถึงสี่คนนี้จะต้องเข้ามาหาอะไรสักอย่างนอกเหนือจากหาของป่าทั่วไป ถึงคืนที่สามหลวงปู่ก็ได้พบเหตุการณ์เหมือนเดิมอีก คืนนี้ดวงไฟเปล่งประกายสีเหลืองสดใสมาก เมื่อมีเหตุชวนสงสัยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านจึงตั้งจิตอธิฐานว่า ?ใต้พื้นแผ่นดินแห่งนี้ถ้ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ขอจงได้ปรากฏให้ทราบด้วยเถิด จากนั้นท่านหลับตาทำสมาธิ จนในที่สุดจึงรู้ว่าใต้พื้นดินตรงนี้มีพระพุทธรูปอายุหลายร้อยปีฝังอยู่ เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่ปรากฏเป็นจริงหรือหลอก จึงเข้าไปสำรวจบริเวณนั้นจึงได้รู้ว่า บริเวณป่าที่ท่านนั่งสมาธินั้นเมื่อก่อนเคยเป็นวัด หรือสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนามาก่อน เพราะมีสิ่งก่อสร้างที่ถูกทับถมอยู่ใต้พื้นดิน พอขุดคุ้นดินลงไปก็เจออิฐก้อนใหญ่ ขุดตรงที่มีแสงสว่างลอยขึ้นมาพบว่าเป็นซุ้มครอบอะไรสักอย่าง และขุดกว้างจนพบพระพุทธรูปขนาดหน้าตักเกือบศอกองค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนศิลปะลาว เนื้อหินทราย ท่านจึงได้อัญเชิญมาแล้วให้ช่างลงรักปิดทองตั้งไว้บูชาที่วัด กล่าวกลับไปถึงการเก็บว่านของหลวงปู่ แต่ละชนิดต้องใช้เวลานาน บางพื้นที่มีสองสามชนิดบางพื้นที่มีชนิดเดียว บางชนิดเคยเห็นผ่านตา แต่พอจะไปเก็บกลับหาไม่เจอ ดังนั้นพระเครื่องของท่านที่เป็นเนื้อว่านท่านจะทำเองเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่การเก็บว่านจนถึงการกดพิมพ์ และวัตถุมงคลอีกชนิดที่โดดเด่นของท่านคือตะกรุดโทน ตะกรุดโทนของท่านทำจากแผ่นทองแดง ท่านทำชนิดที่คาดเอว ห้อยคอได้ หลวงปู่บอกว่าที่ลงนั้นเราลงอะไรก็ได้ที่เรียนมา สำคัญอยู่ที่จิตทั้งสิ้น จะลงมากตัวหรือน้อยตัว ถ้าลงมากสมาธิไม่ดีพอ จิตไม่แก่กล้า ก็ไม่ขลังอะไรเลย ของท่านที่ลงส่วนมากเป็นหัวใจธาตุทั้งสี่เป็นปฐม สาเหตุที่ตะกรุดหลวงปู่ประสานเป็นที่รู้จักในหมู่ทหาร ตำรวจ ก็เนื่องจากตะกรุดอันลือลั่นของหลวงปู่พั่ว วัดบ้านนาเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี ทหาร ตำรวจ มีศรัทธามาก พากันไปกราบขอตะกรุดจากหลวงปู่จนทำให้ไม่ทันแจก จึงได้บอกกับบรรดาศิษย์ว่าที่นำมาแจกนั้นบางส่วนหลวงปู่ได้นำแผ่นโลหะไปให้หลวงพ่อประสาร วัดบ้านโนนผึ้ง จารอักขระคาถาให้ หลวงปู่ประสารบอกว่า ?ของฉันห้ามลอง ให้ใจมั่นอย่างเดียวจะช่วยให้แคล้วคลาดอันตราย ถึงคราวสู้ต้องสู้ ถึงคราวหนีต้องหนี ยามหนีไม่ต้องกลัวภัยและอย่าด่าเป็นอันขาด รับรองได้เลยว่าปลอดภัยแน่ๆ มีประวัติบางตอนของหลวงปู่ประสารที่เกี่ยวเนื่องกับหลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน ต้องขอความอนุเคราะห์จากสมาชิกท่านที่มีข้อมูลช่วยกันเล่าต่อด้วยครับ ปัจจุบันหลวงปู่ประสาร อรหปัจจโย วัดบ้านโนนผึ้ง ได้ถึงแก่มรณภาพแล้ว และได้มีการพระราชทานเพลิงศพแบบโบราณอีสาน (นกหัสดีลิงค์) แล้วเมื่อปีที่ผ่านมา |