หัวข้อ: ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ป้อ ธมฺมสิริ เริ่มหัวข้อโดย: tar ที่ 08 ธันวาคม 2553, 11:20:45 ประวัติและปฏิปทา
หลวงปู่ป้อ ธมฺมสิริ (http://www.ubonpra.com/images/luangpoo_por.jpg) วัดบ้านเอียด ต.เขวา อ.เมือง จ.มหาสารคาม อัตโนประวัติ ?หลวงปู่ป้อ ธมฺมสิริ? วัดบ้านเอียด ต.เขวา อ.เมือง จ.มหาสารคาม ท่านเป็นพระเกจิยุคเก่ามีชื่อเสียงโด่งไปทั่วภาคอีสานเมื่อร้อยปีที่ผ่านมา ร่วมสมัยกับ ?หลวงปู่ศรีธรรมศาสน์? วัดใต้โกสุม ต.หัวขวาง อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม และ ?หลวงปู่ซุน ติกขปัญโญ? วัดบ้านเสือโก้ก ต.เสือโก้ก อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม ส่วนการสืบค้นประวัติของหลวงปู่ป้อ จากปากคำของพระอาจารย์สุข พลลาภ อดีตพระที่เคยปนนิบัติหลวงปู่ป้อ ก็ได้ข้อมูลพอสังเขปเท่านั้น เนื่องเพราะอัตโนประวัติของท่านไม่มีการบันทึกไว้แต่อย่างใด (http://www.ubonpra.com/images/luangpoo_sun.jpg) หลวงปู่ซุน ติกขปัญโญ ทราบเพียงว่า หลวงปู่มีพี่สาว 2 คนคือ นางพันและนางจันทร์ โดยหลวงปู่ป้อเป็นบุตรคนสุดท้อง ส่วนโยมบิดา-โยมมารดา ไม่ทราบชื่อเพราะบรรดาญาติๆ ต่างเสียชีวิตไปนานแล้ว เหลือญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันเป็นชั้นเหลน หลวงปู่ป้อ เกิดประมาณเดือนมกราคม ปี พ.ศ.2415 ต่อมาครอบครัวของท่านได้ย้ายบ้านเรือนออกไปอยู่บ้านโนนสะพัง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งใหม่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเอียดเท่าใดนัก ครอบครัวหลวงปู่มีอาชีพทำไร่ทำนาเหมือนชาวอีสานทั่วๆ ไป เมื่อสมัยยังเล็กๆ ท่านก็ช่วยงานครอบครัวด้วยความขยันขันแข็ง การบรรพชาและอุปสมบท พออายุกว่าสิบปี โยมบิดา-โยมมารดาได้นำไปบรรพชาเป็นสามเณร และเมื่ออายุ 20 ปี ในปี พ.ศ.2435 จึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดในหมู่บ้าน แต่ไม่ทราบว่าพระอุปัชฌาย์ของท่านเป็นผู้ใด ออกธุดงควัตรและศึกษาด้านไสยเวท หลังจากอุปสมบท ท่านได้จำพรรษาศึกษาพระธรรมวินัยด้วยความขยันขันแข็งอยู่วัดบ้านเอียด มาโดยตลอด ท่านเป็นพระที่เคร่งพระธรรมวินัยมากที่สุดในยุคนั้น แต่ด้วยความที่หลวงปู่ชมชอบความสงบวิเวกช่วงหลังออกพรรษาแทบทุกปี หลวงปู่จะออกธุดงควัตรไปแสวงหาความหลุดพ้นตามป่าเขาลำเนาไพรตามป่าในภาคอีสาน หลวงปู่ป้อ ธมฺมสิริ หลวงปู่ศรีธรรมศาสน์ และ หลวงปู่ซุน ติกขปัญโญ? ทั้งสามท่านออกธุดงค์ร่วมกันเพื่อตามหาสำเร็จลุนจนได้มอบตัวเป็นศิษย์และได้อยู่ศึกษ าวิทยาคมจากสำเร็จลุนผู้วิเศษแห่งนครจำปาศักดิ์ ในด้าน วิทยาคมต่างๆรวมทั้งอักขระโบราณ ทำให้หลวงปู่ทั้งสามมีความรู้สามารถเขียนอักษรลาว-ขอม และอักษรไทยอย่างแตกฉาน หลังจากนั้น จึงมาศึกษาต่อที่สำนักพระอาจารย์โสภาวดี วัดฟ้าเหลื่อม อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งพระเกจิสายอีสานยุคนั้นมักจะไปเล่าเรียนที่วัดแห่งนี้แทบทั้งสิ้น ความเข้มขลังของท่านเป็นที่เลื่องลือมากในยุคนั้น ท่านเก่งทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรีกันบ้านกันเมือง หลวงปู่ป้อเป็นพระที่แม่นพระธรรมวินัย จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นพระวินัยธร และแม่นกฎหมาย อาจารย์พรหมา รักษาเกณฑ์ อดีตเคยเป็นครูสอนอยู่บ้านเอียด ปัจจุบันอายุเกือบ 80 ปี เล่าว่า เมื่อกว่า 60 ปีที่ผ่านมา มีนายตำรวจคนหนึ่งยศร้อยตำรวจโท ออกตรวจพื้นที่มาพบหลวงปู่ที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน และพูดจาทำนองดูถูกว่าหลวงปู่เป็นพระแก่ จึงเกิดมีปากเสียงกัน นายตำรวจท่านนั้นจับท่านไปโรงพัก หลวงปู่ก็ถามว่าจะเอากฎหมายมาตราไหนมาจับท่าน ตำรวจไม่สามารถจะแจ้งข้อหาอะไรได้จึงต้องปล่อยหลวงปู่ๆ จึงเทศน์สั่งสอนให้ตำรวจดูตราที่หน้าหมวกที่พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานมา มีข้อความว่าอย่างไร สุดท้ายนายตำรวจท่านนั้นเกิดสำนึกผิด จึงได้กราบขอขมาท่านซึ่งหลวงปู่ก็เมตตาให้อภัย (http://www.ubonpra.com/images/lungpoo_mahanon.jpg) หลวงปู่มหานนท์ พรหฺมสีโล พระนักพัฒนา หลวงปู่ป้อยังเป็นพระนักพัฒนา ท่านได้พัฒนาวัดบ้านเอียดให้เจริญรุ่งเรือง สร้างถาวรวัตถุไว้มากมายไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ ศาลาการเปรียญ นอกจากนั้น ท่านยังเป็นหัวแรงใหญ่ชักชวนชาวบ้านก่อสร้างโรงเรียนประถมศึกษาขึ้นในหมู่บ้าน จนเป็นผลสำเร็จปรากฏอยู่จนถึงปัจจุบัน ในยุคนั้นด้วยบารมีของท่านทำให้มีผู้แสวงบุญมากราบนมัสการ และฟังธรรมที่วัดอย่างล้นหลาม ด้วยกิตติศัพท์ที่เลืองลือในเรื่องความเข้มขลังด้านไสยเวท ด้านยาสมุนไพร จึงมีพระภิกษุและฆราวาสจากทุกสารทิศเดินทางมากราบกรานขอฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่ป้ อจำนวนมาก เช่น หลวงปู่เสาร์ วัดศรีสุข, หลวงปู่มหานนท์ พรหฺมสีโล ฯลฯ นอกจากนั้น วัดบ้านเอียดยังเป็นสำนักเรียนที่มีเชื่อเสียงโด่งดัง ทำให้มีพระภิกษุสามเณรจากทั้งใกล้และไกลมาศึกษาเล่าเรียนกับหลวงปู่จำนวนมาก ซึ่งท่านจะเคร่งครัดมากหากไม่ตั้งใจศึกษาท่านจะไม่ให้อยู่ที่วัดอย่างเด็ดขาด (http://www.ubonpra.com/images/luangpoo_por2.jpg) รูปหล่อหลวงปู่ป้อ ธมฺมสิริ การมรณภาพ ล่วงเข้าสู่ปัจฉิมวัยด้วยความไม่เที่ยงของสังขาร หลวงปู่มีอาการอาพาธบ่อยครั้ง แต่ด้วยความที่ท่านปลงอนิจจังสังเวชเห็นว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดาของสัตว์โลก ท่านจึงไม่ยอมฉันยาใดๆ ทั้งสิ้น สุดท้ายท่านได้มรณภาพทิ้งสังขารลง เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2502 สิริอายุรวม 87 พรรษา 67 หลังเก็บสังขารท่านไว้จนถึงปี พ.ศ.2503 จึงมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ แม้หลวงปู่ป้อจะละสังขารไปนานกว่า 40 ปีแล้ว แต่คุณความดีของท่ายังปรากฏอยู่ในจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวอีสานตราบจนกระทั่งปัจจุบั น |